ประสงค์ สุขุม เป็นบุตรคนโตพระพิศาลสุขุมวิท ซึ่งถือว่าเป็นผู้สืบทอดความคิดสำคัญ่ในเรื่องการศึกษาของตระกูลสุขุมต่อเนื่องมาจากเจ้าพรัยายมราชได้อย่างดี เขาเกิด 17 มกราคม 2473 ผ่านการศึกษาอย่างดีตามแบบฉบับของชนชั้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เริ่มจากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน จากนั้นไปเรียนระดับมัธยมที่Philips Exeter Academy ในราวปี2485 หลังจากบิดาของเขาอาจจะเป็นคนไทยคนแรกที่เข้าโรงเรียนนี้เมื่อปี2460 จากนั้นสุขุมเข้าเรียนเศรษฐศาสตร์ในระดับปริญญาตรีที่ Darthmouth College แล้วตามด้วยMBA Harvard University ซึ่งเป็นรุ่นที่สอง(คนแรกของไทยหรือรุ่นแรกได้แก่ ไกรสีห์ นิมมานเหมินทร์) ของไทยในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่2 รุ่นๆเดียวกัน เรณู สุวรรณสิทธิ์ และประชัน คุณะเกษม
ประสงค์รับราชการอยุประมาณ20ปี จากสำงานงบประมาณ จนข้ามมาเป็นเลขาธิการเร่งรัดพัฒนาชนบท จากนั้นเข้าสู่การเมืองในช่วงหลังเหตุการณ์6ตุลาคม 2519 ถึง2 ครั้ง ในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ ในรัฐบาลสัญญา ธรรมศักดิ์ 2 และรัฐมนตรีช่วยคมนาคมในรัฐบาลเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ 1 ประมาณ 2520 เขาเข้าสู่ภาคเอชนครั้งแรกในการบริหารกิจการ่วมทุนระหว่างรัฐกับเอกชนในกิจการบริษัทไทยออยล์ในตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป และต่อมาเป็นกรรมการรองผู้อำนวยการ เมื่อเกษียณอายุแล้ว ได้เข้าดำรงตำแหน่งกรรมการในบริษัทต่างๆของไทยที่มีอายุเก่าแก่ เช่น โอสถสภา เสริมสุข ชีวิตในตอนนี้ ในตอนที่ตระกูลสุขุมลดบทบาทลงไปในสังคมไทย เขาจึงจับปากกามาเขียนประวัติศาสตร์ความยิ่งใหญ่ของตระกูลตนเองในอดีตให้อ่านกัน
เศรณี เพ็ญชาติ เป็นบุตรชายคนโตของชำนาญ เพ็ญชาติ ชำนาญเป็นบุตรเขยคนสำคัญของพลเอกถนอม กิตติขจร โดยเขาได้บุกเบิกธุรกิจต่างๆในช่วงถนอมมีอำนาจทางการอง โดยเมืองเฉพาะธนาคารสหธนาคาร และกิจการผลิตเซรามิค(ยูเอ็มไอ) สหธนาคารมีเรื่องราวขัดแย้งต่อสู้ ระหว่างชำนาญ กับ บรรเจิด ชลวิจารณ์ ผู้ถือหุ้นใหญ่อีกฝ่ายหนึ่ง รายละเอียดเหล่านี้อ่านได้จากหนังสือ”ธนาคารไทยล่มสลาย”ของผมเอง
เศรณี เกิดปี2498 เริ่มเรียนหนังสือในขั้นประถมที่โรงเรียนเซ็นต์คาเบรียล ซึ่งเป็นโรงเรียนเก่าของบิดา เรียนจนจบประถม6 ขณะที่อายุเพียง9ขวบ ด้วยความไม่สนใจการเรียน เขาจึงถูกส่งไปศึกษาต่อต่างประเทศ ในช่วงที่ตาและบิดาของเขามีอิทธิพลในสังคมไทยมาก เขาเล่าให้ผมฟังหลายปีมาแล้วว่า ในช่วงนั้นพลเอกสุภา คชเสนี ผู้เป็นน้า เป็นฑูตทหารเรืออยู่ที่นิวยอร์ค จึงเป็นธุระหาโรงเรียนชั้นดีเพื่อจะอบรมหลานชาย The Fessenden School, Massachusetts ซึ่งถือเป็นโรงเรียนชั้นดีที่สุดแห่งหนึ่งในสหรัฐ นักเรียนส่วนใหญ่เป็นพวกผู้ดีมีเงิน เศรณีบอกว่าส่วนใหญ่เป็นพวกเห็นแก่ตัว เอาแต่ใจตัวเอง เจอเข้ารูปนี้เขาจึงกลายเป็นคนดีไป เขาได้ชื่อว่าเป็นคนไทยคนที่สองที่เรียนโรงเรียนนี้ คนแรกคือพระองค์เจ้าอาทิตย์ฯ
เขาเรียนอยู่3ปี จากนั้นก็เขาเรียนระดับมัธยมที่Philips Exeter Academy รุ่นน้องบัณฑูร ล่ำซำ 3ปี เขาบอกว่าเป็นโรงเรียนของพวกหัวกะทิ ประมาณ40% เป็นนักเรียนทุนเรียนดี ซึ่งมีตั้งแต่คนจนถึงรวยล้นฟ้า เขาวิจารณ์ระบบการสอน Harkness Plan สร้างบรรยากาศการแข่งขันอยู่ตลอดเวลา ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์หดหายไป เขาตัดสินใจเรียนด้านบริหารธุรกิจที่Boston University ตามคำสั่งของบิดา เขาบอกว่าสถานบันการศึกษาส่วนใหญ่เป็นพวกยิว อบอวลด้วยบรรยากาศของการค้าขาย จากนั้นก็เข้าเรียนMBA ที่ University o f Northeastern เป็นมหาวิทยาลัยเปิด เขาพบคนทุกชั้น”ผมค้นพบอเมริกันทั้งหมดที่นี่” เศรณีกล่าวเอาไว้
เขากลับเมืองไทยในปี2523 เข้ารับราชกการทหาร ดูเหมือนคล้ายๆบัณฑูร ล่ำซำ แต่ความจริง เขาต้องการเป็นทหารโดยรับราชการอยู่3ปีจนได้ยศร้อยเอกจึงลาออกมา มาบริหารธุรกิจของบิดาซึ่งก็ทำได้อย่างดี พอสมควร โดยเฉพาะเปิดฉาการต่อสู้แย่งชิงสหธนาคาร แต่ในที่สุดเขาตัดสินใจขายหุ้นทิ้งไป และเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องในเวลาต่อมาเพราะธนาคารแห่งนี้รัฐบาลเข้าควบคุมกิจการเมื่อปี2541
พงส์ สารสิน
เกิด 16 กรกฎาคม 2470 บิดา พจน์ มารดา สิริ
การศึกษา
ประถมศึกษา วชิราวุธวิทยาลัย
มัธยมศึกษา เตรียมอุดมศึกษา ,Wilbraham Academy
อุดมศึกษา บริหารธุรกิจ Boston University 2494
ก่อนเข้ารับหน้าที่บริหารกิจการที่มีครอบครัวลงทุน เริ่มทำงานที่ธนาคารแห่งประเทศไทย และสภาความมั่นคงอยู่พักหนึ่ง จนถึงปี2502 จึงลาออกมาเป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัทไทยน้ำทิพย์ ผู้ผลิตCocoCola
หลังเหตุการณ์ปี2516 เขาลงเล่นการเมือง สมัครรับเลือกตั้งเป็น สส. ขอนแก่นหลายสมัย ต่อมาเป็นรองนายกรัฐมนตรี (2529-2533)
อาสา สารสิน เป็นโมเดลของสารสินที่สมบูรณ์แบบในเรื่องการศึกษาและการทำงาน เขาเกิด 26 พฤษภาคม 2479 ผ่านการศึกษาขึ้นต้น(จนถึงม.3)จากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน จากนั้นไปเรียนระดับมัธยมที่Dulwich College ที่อังกฤษ เป็นเวลา5ปี(2492-2497) ซึ่งเป็นรุ่นน้องอานันท์ ปันยารชุน2ปี โดยอยู่โรงเรียนเดียวกันถึง4ปีเต็ม ทำให้ทั้งคู่สนิทสนิมกันมาจนถึงปัจจุบัน แล้วข้ามไปเรียนที่สหรัฐอมเริกาในโรงเรียนประจำของตระกูลเพื่อเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัยอเมริกา โดยเข้าเรียนที่Wilbraham Academy(2497-2498) จากนั้นเข้าเรียนที่Boston University สาขาบริหารธุรกิจ จนจบในปี2502
เขารับราชการในกระทรวงต่างประเทศ เช่นเดียวกับอานันท์ ปันยารชุน โดยเป็นรุ่นน้อง4ปี อานันท์เริ่มราชการปี2498 ขณะที่อาสา เริ่มชีวิตราชการในปี2502 ทั้งคู่เป็นข้าราชการกระทรวงต่างประเทศที่ไต่เต้าในตำแหน่งอย่างรวดเร็ว อานันท์ใช้เวลา22ปีเป็นปลัดกระทรวงต่างประเทศ ซึ่งใกล้เคียงกันมากกับอาสา ซึ่งใช้เวลามากกว่าเพียง1ปีเท่านั้น
อาสา เกษียณอายุก่อนกำหนด ถึง8ปีเต็ม โดยได้เข้าทำงานภาคเอกชน ทั้งนี้เนื่องจากเขาจบบริหารธุรกิจและทำงานในฐานะผู้ดูกรมเศราฐกิจและหัวหน้าคณะผู้แทนในอีอียูมาแล้ว เขาทำงานในบริษัทผาแดงอินดัสตรีส์ กิจการระร่วมทุนระหว่างรัฐบาลไทยกับเบลเยี่ยม ซึ่งอาสาเคยเป็นเอกอัครราชฑูตเบลเยี่ยมด้วย เขาเริ่มชีวิตภาคเอกชนในปี2531แต่แล้วในปี2534 และ2535 เขาได้เข้าสู่การเมืองโดยเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศของรัฐบาลอานันท์ ปันยารชุน ในช่วงสั้น2ครั้ง ในที่สุดในปี2543 อาสา สารสินได้รับโปรดเกล้าดำรงตำแหน่งราชเลขาธิการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
นิมมานเหมินทร์ ผมจำเป็นต้องขยายความตระกูลเพิ่มขั้น โดยเฉพาะบทบาทของไกรสีห์ นิมมานเหมินทร์ บิดาของธารินทร์ –ศิรินทร์ ซึ่งมีบทบาทหลาหลายตามยุคสมัยในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อการเปลี่ยนของภาคเหนือ อันเนื่องมาจากแรงบีบคั้นทางเศรษฐกิจและสังคม เขาจบการศึกษาขั้นมัธยมต้นจากโรงเรียนปริ้นส์รอยัล เชียงใหม่ จากนั้นเข้าศึกษาต่อมัธยมปลายที่อัสสัมชัญ(2471-4) เพื่อเป็นพื้นฐานในการเรียนต่อต่างประเทศ เข้าใจว่าเขาต้องเตรียมตัวอย่างน้อย1ปี จะเข้าเรียนเศรษฐศาสตร์ในระดับปริญญาตรี ที่ University of Pensylvania จนจบปี2479 จากนั้นต่อMBA คนแรกของเมืองไทยที่Harvard University จบจบปี2481 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองกำลังจะก่อตัวขึ้น เขากลับเมืองไทยสอนหนังสือที่จุฬาฯอยู่ช่วงสั้นๆในช่วงพระยาไชยยศสมบัติ สร้างคณะบัญชีขึ้นมาพร้อมกับที่อาภรณ์ กฤษณมะระน้องชายพระยาไชยยศเป็นผู้จัดการธนาคารไทยพาณิชย์ ไกรสีห์ จึงถูกชวนเข้าทำงานธนาคารแห่งนี้ ซึ่งบริหารด้วยความคิดอนุรักษ์นิยมเต็มที่ เมื่อสงครามเกิดขึ้นและกระทบเมืองไทยเขาตัดใจกลับเชียงใหม่ปักหลักยาวนาน เริ่มต้นด้วยการดูแลกิจการในครอบครัว ซึ่งไม่มีความสำคัญนัก ในฐานะตระกูลใหญ่และกว้างขวางในภาคเหนือ บวกกับความรู้ด้านธุรกิจเขาจึงทำหน้าที่เป็น”คอมประโดร์” ธนาคารคนไทยที่เกิดขึ้นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เริ่มจากธนาคารนครหลวงไทย และต่อมาก็ธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ ซึ่งเป์นธนาคารเดียวที่ดำเนินธุรกิจเชิงรุกในภาคเหนืออย่างมากในช่วงธนิต พิศาลบุตรเป็นผู้ช่วยผู้จัดการ ในราวๆปี2505 กฎหมายธนาคารอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเกิดขึ้น บทบาทคอมประโดร์ค่อยๆลดบทบาทลง จนในที่สุดเขากับมาทำงานที่กรุงเทพฯอีกช่วงหนึ่ง เมื่อเกิด บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมฯหรือไอเอฟซีที เขาทำงานอยู่ 5ปีก็ลาออกไป ปี2513 เขาจึงหันมาสร้างกิจการเงินทุนของตนเอง ซึ่งไม่ค่อยประสพความสำเร็จนัก ในชีวิตที่ไม่เดือดร้อนกอปรกับเป็นนักคิด ค้นคว้า งานอีกด้านหนึ่งที่สำคัญของเขาในเรื่องการค้นคว้าด้านวัฒนธรรมภาคเหนือเกิดขึ้นอย่างจริงจัง ภายใต้ในช่วงสังคมไทยถูกกระตุ้นโดยนักวิชาการต่างชาติในการศึกษาเรื่องบุคคลิกเฉพาะของเชียงใหม่ ที่มาพร้อมกับการริเริ่มการค้าโบราณวัตถุระดับโลก ไกรสีห์เป็นคนหนึ่งที่ศึกษาเรื่องนี้อย่างแตกฉาน จนได้รับการยกย่องว่าเป็นปราชญ์แห่งล้านนา ทำให้ภาพการค้าเงิน รีดดอกเบี้ยสูงธุรกิจดั้งเดิมของตระกูลถูกลบเลือนไปอย่างไม่อย่างจงใจ
เปรมชัย กรรณสูต เป็นบทบาทของนายแพทย์ชัยยุทธ กรรณสูต ผู้มีความคิดและวางแผนในการสร้างทายาทอย่างเข้มข้นอีกคนหนึ่งในวงการธุรกิจไทย ตระกูลกรรณสูตในยุครัชการที่5 ถือว่ามีโอกาสศึกษาในต่างประเทศหลายคน ย่อมมีอิทธิพลมาถึงหมอชัยยุทธ ไม่น้อย ประกอบกับเข้าต้องดำเนินธุรกิจร่วมกับต่างชาติ ตั้งแต่เริ่มแรก จนถึงขยายกิจการร่วมทุน ในประเทศ แข่งขันกับต่างประเทศ ในประเทศไทย จนถึงขยายกิจการไปต่างประเทศ ความสำนึกเช่นนี้ จึงส่งผลถึงวางแผนเตรียมทายาทสืบต่อกิจการอิตัลไทย ณ วันที่เปรมชัย กรรณสูต จบการศึกษาจากต่างประเทศมานั้นยิ่งใหญ่มากในเมืองไทย
หมอชัยยุทธ เป็นตัวอย่างในการสร้างกิจการจากความร่มมือกับชาวอิตาลี ชื่อ แบริ่งเจรี่ อันนำมาซึ่งโอกาสธุรกิจกว้างใหญ่ ในการนำเข้าสินค้าตั้งแต่คอนซูเมอร์ จนถึงสินค้าอุตสาหกรรม รวมไปจนถึงกิจการก่อสร้างซึ่งสอดคล้องกับยุคที่ประเทศไทยกำลังพัฒนาสาธารณูปโภคครั้งใหญ่ เขามีกิจการโรงแรมที่ดีที่สุดของประเทศ ถือหุ้นในหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษเก่าแก่ที่สุด ภาระที่เข้าสร้างในฐานะที่มีลูกช้า ย่อมเป็นการสร้างแรงกดดันไม่น้อย ยิ่งเขาประสพความผิดหวังอย่างร้ายแรงในกับบุตรชายคนแรกที่ฝากความหวังไว้อย่างสูง
เอกชัย กรรณสูตร(2490-2522) ลูกชายคนแรกเกิดขึ้นเมื่อหมอชัยยุทธมีอายุ26ปี เขาวางแผนการศึกษาของบุตรชายอย่างดี เริ่มจากจบโรงเรียนอัสสัมชัญที่เขาเรียน แล้วส่งไปเรียนระดับมัธยมตอนปลายอีก2ปีในสหรัฐ ซึ่งถือเป็นโรงเรียนที่ดีแห่งหนึ่ง Riverdale Country Schoolที่เมือง Bronx ในกรุงนิวยอร์ค เป็นโรงเรียนสหศึกษาประเภทไปกลับ เอกชัยเข้าเรียนที่นี่ในปี2507 จากนั้นก็ศึกษาที่Worchester Polytechnic Institute จบปริญญาตรีด้านวิศวกรรมช่างกล.ในปี2512 จากนั้นเรียนปริญญาโท Industrial Management ที่ Northeastern University ในปี2515 เริ่มทำงาน ซึ่งเป็นบุตรที่หมอชัยยุทธ ภาคภูมิใจในเรื่องการเรียนและการงานมาก แต่แล้ว เขาก็มาเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุทางรถยนต์ในปี2522 ซึ่งมีอายุเพียง 32ปี อันเป็นปีเดียวที่บุตรชายคนที่สองจบการศึกษากลับมา
ยิ่งไปกว่านั้นในปี2524 แบริ่งเจเรี่ก็เสียชีวิต กลุ่มอิตัลไทยในยุคที่สองเริ่มขึ้น ที่หมอชัยยุทธ ต้องบริหารอย่างเต็มที่ ต้องทำงานหนักขึ้น เมื่อเขาอายุถึง60ปีเต็ม
เปรมชัย กรรณสูต บุตรชายคนที่สองที่เหลืออยู่(นอกนั้นเป็นบุตรี) จึงกลายเป็นความหวังที่ยิ่งใหญ่และท้ายสุด เปรมชัยเข้าสูตรของการพิถิพิถันในการศึกษาอย่างมา เขาเกิด9มีนาคม 2497 คราวนี้เขาเรียนระดับประถมที่โรงเรียนของมารดา โรงเรียนจิตรลดา ในฐานะมารดาของเขา(ม.ร.ว พรรณจิต วรวรรณ) เป็นสมาชิกราชวงศ์ จากนั้นก็เข้าเรียนระดับมัธยมในสหรัฐในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงมาก Phillips Academy (Andover) ก่อนจะเข้าเรียนปริญญาตรีวิศวกรรมเหมืองแร่ที่Colorado School of Mines จากนั้นแถมท้ายMBA ที่University of South Carolina
เปรมชัย เริ่มทำงานปี2522 ใช้เวลาเรียนรู้อยู่เพียง6ปีก็ก้าวขึ้นเป็นผู้จัดการใหญ่บริษัทอิตาเลียนไทยดีเวลลอปเม้นท์ กิจการหลักในปี 2528
วสันต์ จาติกวณิช เป็นบุตรชายคนโตของเกษมกับคุณหญิงชัชนี จาติกวณิช เขาเกิดปี2499 ในเดนเวอร์ สหรัฐ ในช่วงเกษมเดินทางไปดูงานด้านเขื่อนที่นั่น ทั้งบิดาและมารดา ล้วนผ่านการศึกษาระดับต้นในต่างประเทศในต่างประเทศทั้งคู่ ที่สำคัญชัชนีมีบทบาททำงานในบริษัทล็อกซเล่ย์ซึ่งมีความสัมพันธ์กับชาวต่างชาติในหลายระดับทั้งผู้บริหาร ผู้ร่วมทุนกับคู่ค้า ที่สำคัญบทบาทของทายาทที่วางใจก็น่าจะมีส่วนในการบริหารธุรกิจมากกว่าราชการ อย่างไรก็ตามวสันต์และคุณหญิงชัชนี ย่อมมีแรงกดัน ในฐานะที่คุณหญิงเป็นทายาทฝ่ายหญิง ในตระกูลล่ำซำ จึงเป็นไปได้ว่าพวกเขาจำต้องสร้างธุรกิจใหม่ๆขั้นมา
วสันต์ เขาเรียนระดับอนุบาลที่โรงเรียนอนุบาลบ้านเด็กของน้องสาวชัชนี จากนั้นเข้าเรียนระดับประถมในโรงเรียนสาธิตประสานมิตร จนจบ ก็เข้าไปเรียนระดับมัธยมต้นที่สหรัฐ Eaglebrook School, Deerfield, มลรัฐแมสซาจูเช็ท (2513-2515)จากนั้นเข้ามัธยมปลายที่Hotchkiss School, Lakeville, มลรัฐคอนเนคติกัต, (2515-2518) ซึ่งเป็นรุ่นน้องปิ่น จักกะภาก ประมาณ6ปี จากนั้นก็เรียนปริญญาตรีด้านวิศวกรรมเคมี ซึ่งถือเป็นอนาคตของธุรกิจของล็อกซเล่ย์(โปรดสังเกต ตั้งแต่บัญชา ธงชัย บัณฑูร เป็นต้นมา ล้วนเรียนปริญญาตรีด้านวิศวเคมีทั้งสิ้น)ที่สถาบันเดียวกับกันบัณฑูร ล่ำซำด้วย Princeton University, (2518-2522) ในระดับปริญญาโท วสันต์ยังมุ่งมั่นวิชาวิศวกรรมเคมีต่อเนื่องอีกที่ Lehigh University, (2522-2523)
ฐานะที่ล็อกซเล่ย์เป็นทางผ่านทำให้วสันต์ต้องพยายามสร้างกิจการใหม่ โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี่สารสนเทศ ปัจจุบันยังพยายามดำเนินต่อไป แม้โอกาสไม่เอื้ออำนวยนัก คุณหญิงชัชนีต้องออกแรง ทั้งเอาใจช่วยด้วยอย่างมากทีเดียว
ธนินท์ เจียรวนนท์ ให้ความสำคัญในเรื่องการศึกษาของลูกไม่น้อย โดยเฉพาะระดับมัธยม หรือที่เรียกว่าตั้งแต่เกรด9เป็นต้นไป เขาจะส่งลูกๆทุกคนไม่ว่าหญิงหรือชายไปเรียนที่สหรัฐอเมริกา แหล่งวิทยาการ และอิทธิพลความรู้ใหม่ของโลกยุคปัจจุบัน บุตรชายคนโต(ศุภกิต เจียรวนนท์) แม้ว่าการศึกษา12ปีแรกจะอยู่ที่สิงคโปร์เพราะปู่ของเขามีชีวิตอยู่ที่นั่น แต่ตั้งแต่เกรด9เขาไปเรียนที่Pennington School ที่นิวเจอร์ซี ขณะที่ศุภชัย ผ่านการเรียนในช่วงต้นอย่างสับสน ตามคำแนะของผู้ใหญ่หลายคนแต่ลงเอยเขาก็ไปเรียนระดับมัธยมที่โรงเรียนชั้นนำในสหรัฐ เช่นเดียวกับพี่สาวอีก 2คน ก็ไปเรียนระดับมัธยมที่นิวเจอร์ซีเช่นเดียวกัน
ทศ จิราธิวัฒน์ เกิด23 พฤศจิกายน 2507 เป็นบุตรชายของสัมฤทธิ์ จิราธิวัฒน์ เขาเริ่มต้นการศึกษาตามสูตรตระกูลจิราธิวัฒน์ที่โรงเรียนอัสสัมชัญ จนถึงมัธยมปีที่2 ก็เดินทางไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา เป็นจิราธิวัฒน์ไปเรียนต่างประเทศเร็วกว่าทุกคน ซึ่งโดยปกติจะเริ่มเรียนในราวอายุ16ปี แต่เขาเพิ่งอายุ14ปี
เขาเรียนที่Palmer School ที่ไมอามี่ มลรัฐฟลอริด้า จากนั้นเขาเรียนปริญญาตรีสาขาเศรษฐศาสตร์ที่ Weslayan Universityในช่วงปี2526-8 เขาได้เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่LSE(London School of Economics and Political Science) สถาบันชื่อดังที่ผลิตนักเศรษฐศาสตร์ไทยหลายคน อาทิ บุญมา วงศ์สวรรณ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ พิสุทธิ์ นิมมานเหมินทร์เป็นต้น
ทศ จิราธิวัฒน์ จบปริญญาตรีในปี2528 ก็ทำงานตามสูตร ที่Masey Department Store ที่นิวอยร์ค เพื่อหาประสพการณ์ประมาณครึ่งปี ก็ลาออกไปเรียนMBA ที่Columbia University ที่นิวยอรค์นั่นเอง เมื่อจบในปี2531 เขาทำงานที่อื่นก่อนที่Citibank สาขาประเทศไทย แต่ทำได้ปีเดียวก็มาทำงานในกลุ่มเซ็นทรัลของครอบครัวในปี2532 ช่วงต้นๆอยู่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ จนเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่เซ็นทรัลรีเทล (CRC)
จาก หนังสือหาโรงเรียนให้ลูก 2548