ความเคลื่อนไหวล่าสุดของกลุ่มเซ็นทรัล มีความสำคัญไม่น้อย
ถ้อยแถลงต่อตลาดหุ้นไทย(ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย) ในวันซึ่งผู้คนพุ่งกระแสสนใจทางการเมือง(อภิปรายนโยบายรัฐบาลใหม่) สะท้อนยุทธศาสตร์ใหม่ ธุรกิจใหญ่ไทย ว่าด้วยแผนการปรับตัวทางธุรกิจครั้งใหญ่
สาระสำคัญมาจากรกรณี บริษัท โรบินสัน จำกัด (มหาชน) แจ้งผลการประชุมคณะกรรมการบริษัท(26 กรกฎาคม 2562) “อนุมัติให้เสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น… เพื่อพิจารณาอนุมัติการเพิกถอน หุ้นของบริษัทฯ ออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน… ซึ่งเป็นไปตามแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัทย่อยและบริษัทร่วม ของบริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (Central Retail) ตามหนังสือแจ้งจาก Central Retail ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในสัดเส่วนร้อยละ 53.83 ….เมื่อวันที่26 กรกฎาคม 2562 เรื่องการปรับโครงสร้างธุรกิจ…” เรื่องราวข้างต้นเป็นไปตามกระบวนการ นำบริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ Central Retail เข้าจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ฯ
เอกสารข้างต้น ตั้งใจนำเสนอขั้นตอนทางเทคนิค ในกระบวนการนำบริษัทจดทะเบียนเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย แต่สิ่งที่ผมสนใจเป็นอย่างมาก คือเอกสารแบบท้ายว่าด้วยข้อมูลของ Central Retail ความยาวกว่า60หน้า ถือเป็นครั้งแรกเลยทีเดียวก็ว่าได้ กลุ่มเซ็นทรัลนำเสนอข้อมูลกลุ่มธุรกิจซึ่งเป็นแกนกลางและตำนาน แม้ว่าทุก ๆปี กลุ่มเซ็นทรัลมีการแถลงประจำปี และมีเอกสารบางอย่างที่เคยกล่าวถึงและอ้างไว้(Central Group Corporate Book 2018) ในข้อมูลทางการ(ผ่าน http://www.centralgroup.com)ก็มีไม่มาก นำเสนอภาพรวม(หัวขอ้ “การดำเนินธุรกิจของบริษัทกลุ่มเซ็นทรัล”)ไว้กว้างๆ “ยอดขายรวม ปี พ2560– –327,255 ล้านบาท การลงทุน ปี2560—437,053 ล้านบาท เครือข่ายห้างร้าน มากกว่า 4,996 แห่ง/สาขา พื้นที่ขายสุทธิประมาณ 4,924,315 ตารางเมตร พนักงาน กว่า 94,150 คน ฐานลูกค้าThe 1 Card มียอดสมาชิกกว่า 13.5 ล้านคน”
อย่างไรก็ตามข้อมูลโครงสร้างธุรกิจกลุ่มเซ็นทรัลเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ อย่างที่เคยเสนอไว้ปีก่อน แบ่งธุรกิจย่อย ๆออกเกือบๆ10กลุ่ม ปัจจุบัน(อ้างจาก http://www.centralgroup.com เช่นกัน)เหลือ6 กลุ่ม คงเป็นไปตามที่อ้างไว้(โปรดพิจารณา “เหตุกการณ์สำคัญ”)ที่ว่า “2560 เริ่มการปรบัโครงสรางธุรกิจ” หนึ่งในนั้นคือ กลุ่มธุรกิจค้าปลีก และแบรนด์สินค้า(Retail and Brands) เข้าใจว่าเป็น Central Retail ด้วยคำอรรถาธิบายข้อมูลสอดคล้องกัน
อย่างไรก็ตาม ไม่มีข้อมูลอย่างเป็นระบบ ละเอียดและมีความหมายเท่าครั้งนี้
ข้อมูล Central Retail น่าสนใจตั้งแต่นิยามเลยก็ว่าได้ “กลุ่ม Central Retail เป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกสินค้าหลากหลายประเภท ผ่านรปูแบบและช่องทางที่หลากหลาย (Multiformat and Multi–category) ในประเทศไทย และมีการขยายธุรกิจไปต่างประเทศโดยเป็นผู้นำในประเทศอิตาลีและเป็น หนึ่งในผู้นำในประเทศเวียดนาม ธุรกิจของกลุ่ม Central Retail สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ (1) กลุ่มแฟชั่นซึ่ง มุ่งเน้นการจำหน่ายสินค้าเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับ (2) กลุ่มฮารด์ไลน์ มุ่งเน้นการจำหน่ายสนิคาอิเล็กทรอนิกส์และ สินค้าตกแต่งและปรับปรุงบ้าน และ (3) กลุ่มฟู้ด ซึ่งมุ่งเน้นการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าที่มักพบได้ทั่วไปในร้าน สะดวกซื้อโดยแต่ละกลุ่มธุรกิจจะมีแบรนดฺค้าปลีกต่าง ๆ ซึ่งจำ หน่ายสินค้าหลากหลายประเภท..” ข้อมูลสำคัญอื่น ๆ( “เหตุการณ์สำคัญ” และ “ข้อมูลจำเพาะ” ) ได้ให้ ภาพกลุ่มเซ็นทรัลชัดเจนมากขึ้น
จากภาพย่อย ๆที่ว่าธุรกิจค้าปลีกที่มีความสำคัญมากขึ้นๆ ดังที่ผมเคยนำเสนอไว้ “โมเดลธุรกิจค้าสมัยใหม่(Modern trade) โดยเฉพาะปลีกพัฒนาไปมากช่วงเศรษฐกิจขาขึ้นเมื่อช่วง 3-ทศวรรษที่ผ่านมา ด้วยการมาของเครือข่ายธุรกิจระดับโลก และเป็นธุรกิจที่เติบโตอย่างไม่สะดุด แม้ผ่านช่วงวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ” ดังที่เคยเสนอไว้(อ้างอิงจากเรื่อง “สองทศวรรษสังคมธุรกิจไทย” มติชนสุดสัปดาห์ กรกฎาคม2561) จากนั้นมาถึงจุดพลิกผันเริ่มต้นในปี 2556 จากภาพเคลื่อนไหว กิจการในตลาดหุ้น โดยเฉพาะธุรกิจใหญ่ไทย เข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้นในธุรกิจค้าปลีก
เปิดฉากด้วย ซีพี ออลล์ หนึ่งในกิจการเครือซีพี เจ้าของระบบแฟรนไชส์ 7–Eleven เครือข่ายร้านสะดวกซื้อ(convenience store) จากช่วงทศวรรษแห่งการก้าวกระโดด(3545-2555) ก้าวข้ามไปสู่โมเดลค้าส่งด้วยการซื้อกิจการ Makro แห่งเนเธอร์แลนด์ มูลค่าเกือบ2แสนล้านบาท อีก3ปี(2559) ต่อมา เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ ธุรกิจการค้าในโมเดลเดิม กำลังปรับตัวให้เข้าการค้ายุคสมัย ภายใต้เครือข่ายกลุ่มทีซีซีของเจริญ สิริวัฒนภักดี ก้าวไปอีกขั้นซื้อเครือข่าย BigCในประเทศไทย จากCasino Group แห่งฝรั่งเศส กลายเป็นกรณีซื้อขายกิจการในธุรกิจค้าปลีกที่มีมูลค่าสูงสุดที่สุดในระดับภูมิภาค
อันที่จริงในเวลานั้นกลุ่มเซ็นทรัล เคลื่อนไหวในทำนองเดียวกัน แต่ทิศทางจะแตกต่างไปบ้าง โดยมุ่งขยายกิจการในต่างประเทศ โดยเฉพาะกรณี “2554 เข้าซื้อกิจการรีนาเชนเต ซึ่งเป็นกลุ่มห้างสรรพสินค้าหรูหราในประเทศอติาลี และเป็นการเข้าสู่ตลาดยุโรปครั้งแรกของ กลุ่ม Central Retail ….2558 เข้าร่วมลงทุนในกิจการเหงียนคิม และลานชี มารท์ในประเทศเวียดนาม …และ2559 เข้าซื้อกิจการบิ๊กซีในประเทศเวียดนาม” แต่เนื่องด้วยไม่ใช่กิจการในตลาดหุ้น ข้อมูลที่เปิดเผยทั้งหลาย จึงไม่ตื่นเต้นเท่าที่ควร
หากพิจารณาในภาพใหญ่ Central Retail มีรายได้ล่าสุด(อ้างจากข้อมูลจำเพาะ) ระดับ2 แสนล้านบาท ถือว่าเป็นธุรกิจใหญ่กว่าธนาคารและธุรกิจสื่อสาร จากข้อมูลล่าสุด(ปี2561) รายได้ธนาคารใหญ่3 แห่ง แต่ละแห่งยังมีรายได้ไม่ถึง 2แสนล้านบาท( ธนาคารกรุงเทพ 154,200 ธนาคารไทยพาณิชย์168,000 ธนาคารกสิกรไทย182,000 —ข้อสนเทศตลาดหลักทรัพย์ฯ) ซึ่งใกล้เคียงกับบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส(170,000 ล้านบาท ) และทรู คอร์ปอเรชั่น(177,000 ล้านบาท ) ภาพนั้นสะท้อนอิทธิพลธุรกิจค้าปลีกในสังคมไทยที่มากขึ้นๆ
ที่น่าสนใจมากกว่านั้น กลุ่มธุรกิจใหญ่ไทย เคลื่อนไหวในกระแสอย่างคึกคักเป็นพิเศษ ไม่ว่า กลุ่มซีพี ลงทุนในธุรกิจใหญ่ในธุรกิจ รถไฟความเร็วสูงเชื่อมสนามบิน กลุ่มทีซีซี และ บุญรอดบริวเวอรี่ กำลังอยู่ในกระบวนการปรับโครงสร้างธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์กับโรงแรม ซึ่งถือเป็นกลุ่มธุรกิจสำคัญ ให้เชื่อมโยงโดยตรงกับตลาดหุ้นไทย
สิ่งที่น่าสนใจอีกตอนหนึ่ง ใน ข้อมูลCentral Retail คือบทวิเคราะห์ซึ่งสนับสนุนแผนการใหญ่นั้น นำเสนอ อย่างเป็นระบบ ว่าด้วยธุรกิจ อุตสาหกรรม สู่ภาพใหญ่ทางเศรษฐกิจ
———————————–
เหตุการณ์สำคัญ
2490 ก่อตั้งร้านค้าในตึกแถวขนาดเล็กในกรุงเทพมหานคร
2493 เริ่มิประกอบกจิการนำเข้าสินค้า โดยการก่อตั้ง เซ็นทรัลเทรดดิ้ง ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มธุรกิจบริหารและ การตลาดสินค้าแฟชั่น (Central Marketing Group หรือ CMG)
2499 เปิดให้บริการห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลสาขาแรกในย่านวังบรูพา
2517 เปิดให้บริการห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาชดิลม ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นห้างสรรพสินค้าสาขาแฟลกชิปสโตร์ที่เป็น เอกลักษณ์ของ Central Retail
2533 เปิดให้บริการห้างสรรพสินค้าเซน ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าไลฟ์สไตล์ และก่อตั้งบริษัท เซ็นทรัลรีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด
2535 เปิดให้บริการห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นการเปิดห้างสรรพสินค้าสาขาแรกในพื้นที่นอกเขต กรุงเทพมหานคร และเบิกทางการขยายธุรกิจสู่ต่างจังหวัด
2538 เข้าซื้อหุ้นส่วนใหญ่ในห้างสรรพสินค้าโรบินสัน
2539-2548 เปิดให้บริการร้านขายสินค้าเเฉพาะทางและเริ่มให้บริการร้านค้าปลีกประเภทอื่น ๆ เป็นแห่งแรก ได้แก่ ท็อปส์ (ในปี 2539) เพาเวอร์บาย (ในปี 2540) และซูเปอร์สปอร์ต (ในปี 2540)
2548 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่9 พระราชทานอนุญาตใหห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลใช้ตราครุฑในกิจการ
2553-2556 เปิดให้บริการร้านขายสินค้าเฉพาะทางประเภทร้านเดี่ยว (Standalone) ขนาดใหญ่แห่งแรก ได้แก่ ไทวัสดุ (ในปี 2553) และบ้าน แอนด์ บียอนด์ (ในปี 2556) 2553 เปิดให้บริการโรบินสันไลฟ์สไตล์ เซ็นเตอร์ แห่งแรกในจังหวัดตรัง ซึ่งเป็นรูปแบบธุรกิจที่มุ่งเน้นการขยายธุรกิจและเจาะ ตลาดในต่างจังหวัด
2554 เข้าซื้อกิจการรีนาเชนเต ซึ่งเป็นกลุ่มห้างสรรพสินค้าหรูหราในประเทศอติาลี และเป็นการเข้าสู่ตลาดยุโรปครั้งแรกของ กลุ่ม Central Retail
2555 เข้าร่วมลงทุนในกิจการแฟมิลีมาร์ทในประเทศไทยในรปูแบบกจิการร่วมค้า (Joint Venture)
2556 เปิดตัวเว็บสโตร์แรกภายใต้ชื่อ Central.co.th สำ หรับห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล
2558 เข้าร่วมลงทุนในกิจการเหงียนคิม และลานชี มาร์ทในประเทศเวียดนาม
2559 เข้าซื้อกิจการบิ๊กซีในประเทศเวียดนาม
2560 เปิดตัวการให้บริการช่วยเหลือในการเลือกซื้อสินค้าแบบดิจิทัลบนแพลตฟอร์ม Omni-channel เช่น “Rinascente ON DEMAND” และ “Chat & Shop”
2560 เริ่มการปรบัโครงสรางธุรกิจ
2561 เปิดตัวแบรนด์ค้าปลีก GO! สำหรับธุรกิจไฮเปอร์มาร์เก็ตสาขาแรกจากการปรับภาพลักษณ์แบรนด์บิ๊กซีในประเทศ เวียดนามซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในการขยายกจิการของกลุ่ม Central Retail
2562 เข้าซื้อหุ้นที่เหลือทั้งหมดจากผู้ร่วมลงทุนในกิจการร่วมค้าเหงียนคิม ทำให้กิจการร่วมค้าเหงียนคิมมีสถานะเป็นบริษัทย่อย ที่กลุ่ม Central Retail ถือหุ้นทั้งหมด เข้าร่วมลงทุนในกิจการของ Grab ในประเทศไทย ร้อยละ 26.7
ข้อมูลจำเพาะ Central Retail
(ล้านบาท)
ปี 2559 2560 2561
รายได้รวม 176,281 187,998 206,078
กำไร 5,552 5,024 9,536
_______________________________________________
โครงสร้างรายได้
กลุ่มแฟชั่น 69,505 66,746 74,773
กลุ่มฮาร์ดไลน์ 35,830 38,095 42,921
กลุ่มฟู๊ด 70,945 81,157 88,384
_____________________________________
ประเทศไทย 126,766 132,125 139,280
ประเทศเวียดนาม 16,816 22,371 25,406
ประเทศอิตาลี 12,490 13,241 15,643
อื่น ๆ 535 306 286
ที่มา -ประมวลมาจากข้อมูล Central Retail