เรื่องราวอันครึกโครม กรณี Central Village ได้จุดกระแสให้ผู้คนสนใจปรากฏการณ์สำคัญๆสังคมธุรกิจไทย
เปิดฉากถึงภาพรวมธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจสำคัญของไทย ซึ่งโลดแล่นอย่างคึกคัก ภายใต้แรงขับเคลื่อนโดยธุรกิจไทยรายใหญ่ ทั้งขยายเครือข่ายเชิงภูมิศาสตร์ ครอบคลุมกว้างขวางอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งปรากฏรูปแบบ โมเดลหลากหลายอย่างเหลือเชื่อ จนมาถึงโมเดลธุรกิจOutlet รูปแบบค้าปลีกใหม่ ก่อกำเนิด เป็นปรากฏการณ์อันน่าตื่นเต้น ในสหรัฐฯ ขยายตัวอย่างมาก ๆในช่วงเมื่อ3-4ทศวรรษที่แล้ว
อันที่จริงเมืองไทยได้เดินตามกระแสOutlet มาสักพักใหญ่ๆ ค่อนข้างเงียบๆ โดยเกิดขึ้นในช่วงหลังวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ ปี 2544 เป็นต้นมา ริเริ่มโดยผู้ผลิต ผู้ถือลิขสิทธิ์สินค้าเสื้อผ้าแบรนด์เนม FN(fly now) และ Pena House Group ยึดพื้นที่ในต่างจังหวัด ริมถนนหลัก เส้นทางสู่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ในทำเลซึ่งมีราคาที่ดินไม่แพง เท่ากรุงเทพฯและหัวเมืองใหญ่ และขณะนั้นก็ไม่แพงเท่าปัจจุบัน ทั้งสองขยายเครือข่าย Outlet อย่างช้า ๆอย่างต่อเนือง จนถึงปัจจุบัน Premium Outlet ของ Pena House Group มีประมาณ10 แห่ง ขณะFN เข้าตลาดหุ้นในนาม บริษัท เอฟเอ็น แฟคตอรี่ เอ๊าท์เลท จำกัด (มหาชน) เมื่อปี2559 ขยายสาขาต่อเนื่องมีถึง12สาขาแล้ว
ทั้งFN(fly now) และ Pena House Group ยุคเริ่มแรก เข้าข่ายโมเดลเรียกว่า factory outlet อ้างอิงเฉพาะสินค้าตนเอง ซึ่งเผอิญแต่ละรายมีหลายแบรนด์ อย่างไรก็ตาม เท่าที่ติดตามในเวลาต่อมา มีความพยายามเพิ่มแบรนด์ต่าง ๆอย่างหลากหลาย เพิ่มสินค้าอื่นๆเข้าไปด้วย
เมื่อกลุ่มเซ็นทรัลและสยามพิวรรธน์ ผู้นำธุรกิจค้าปลีกใจกลางเมือง ประกาศแผนการใหญ่ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน เมื่อต้นๆปีที่แล้ว กระแส Outlet พุ่งแรงขึ้น สะท้อนสถานการณ์และทิศทางธุรกิจค้าปลีกไทยในสภาวะแข่งขันกันรุนแรงมากขึ้น
ถือเป็นปรากฏการณ์ต่อเนื่องของผู้นำค้าปลีกไทย กับความพยายามปรับตัว แสวงหาโอกาสทางธุรกิจอย่างไม่ลดละ อ้างอิงสถานการณ์ กลุ่มเป้าหมาย และทำเล อย่างพลิกแพลง หลากหลาย มักมีแนวคิดไปในทางเดียวดัน เมื่อพิจารณาข้อมูลสำคัญจากถ้อยแถลงข่าวในเวลานั้น “เป็นจุดหมายปลายทางแห่งการจับจ่ายใช้สอยของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”(ซีพีเอ็น) และ “พรีเมี่ยมเอาท์เล็ตมีความเหมาะสมอย่างมากสำหรับประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตของประชากร และมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากกว่า 35 ล้านคน เดินทางมาท่องเที่ยวและมองหาสินค้าคุณภาพสูงในราคาที่เหมาะสมคุ้มค่า”(สยามพิวรรธน์)
ที่สำคัญ ที่สอดคล้องกับแผนการ ทั้งสองราย ยึดทำเลในเชิงยุทธศาสตร์ ซีพีเอ็นแห่งกลุ่มเซ็นทรัล กับ โครงการ Central Village ยึดพื้นที่ประมาณ100ไร่ ใกล้ๆทางทิศใต้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สยามพิวรรธน์ ร่วมทุนกับ SIMON PROPERTY GROUP แห่งสหรัฐฯในโครงการ Siam Premium Outletsบนที่ดิน 150 ไร่ ตั้งอยู่บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 (มอเตอร์เวย์กรุงเทพฯ – ชลบุรี) กม. 23 ห่างจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิทางทิศตะวันออก ใช้เวลาเดินทางเพียง 10 นาที
Central Village เปิดบริการขึ้นก่อน ท่ามกลางอุปสรรคพอสมควร ด้วยเรื่องราวขัดแย้ง ไม่ว่าจะลงเอยอย่างไร ได้จุดกระแสความสนใจ Outletพุ่งแรงขึ้นไปอีก ทำให้วันเปิดด้วยผู้คนล้นหลาม ขณะที่มุมมองเปิดกว้างไปยัง คู่แข่งรายใหญ่อีกราย ดูเหมือน “คู่แข่ง” รายนี้ที่ผ่านๆมาถูกมองข้ามไป
“กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เป็นบริษัทชั้นนำในธุรกิจการค้าปลีก ที่พร้อมมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการช็อปปิ้งในท่าอากาศยานรวมถึงประสบการณ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วยมาตรฐานระดับสากล” ข้อความซึ่งquoteไว้ใน kingpower.com โดย วิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานกรรมการ มี keyword สำคัญปรากฏอยู่ ดังประกาศท้าทาย นั่นคือ “บริษัทชั้นนำในธุรกิจการค้าปลีก” กับ “การช็อปปิ้งในท่าอากาศยาน”
ภาพธุรกิจสำคัญ คิง เพาเวอร์ ซึ่งมีฐานใหญ่อยู่ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จึงโดดเด่น เทียบเคียงกับ กลุ่มเซ็นทรัล กับสยามพิวรรธน์ ในทันที หากพิเคราะห์เรื่องราวและความสำเร็จของ คิง เพาเวอร์อ้างอิงกับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิด้วยแล้ว กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ อาจจะพอเทียบเคียงกับกลุ่มธุรกิจใหญ่ไทยสำคัญอีกบางราย โดยเฉพาะ ซีพีและทีซีซี ก็ว่าได้
วิชัย รักศรีอักษร(ปัจจุบัน-ศรีวัฒนประภา) ผู้เพิ่งวายชมน์เป็นข่าวดังระดับโลก ถือเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจร้านปลอดภาษีและอากร เมื่อ3ทศวรรษที่แล้ว เปิดร้านค้าปลอดภาษีและอากรรายแรกในประเทศไทย ณ อาคารมหาทุนพลาซ่า ถนนเพลินจิต(ปี2532) ก่อนจะก้าวสู่ธุรกิจระบบสัมปทานเต็มตัว เข้าบริหารร้านค้าปลอดภาษีและอากร ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง (ปี 2536) ขณะเดียวกับบุกเบิกธุรกิจเดียวกันในต่างประเทศ ใน กัมพูชา(2534 )ปักกิ่ง(2538 ) และฮ่องกง(2538)
ธุรกิจร้านปลอดภาษีและอากรภายใต้พื้นที่และลูกค้าจำกัด อยู่นอกสายตาสังคมธุรกิจไทยมาพักใหญ่ๆ จนมาถึงช่วงควรสนใจมากขึ้น แต่จังหวะนั้นถูกกลบด้วยวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ชื่อ คิง เพาเวอร์ ปรากฏขึ้นอย่างเป็นทางการในช่วงนั้น พร้อม ๆกับโอกาสครั้งใหญ่กับท่าอากาศยานหลักๆของไทย ทั้งดอนเมือง เชียงใหม่ ภูเก็ต และหาดใหญ่ แต่คงไม่ครั้งไหนยิ่งใหญ่ เท่า กับคิงเพาเวอร์ได้เข้ามาดำเนินการสินค้าปลอดภาษีและอากร ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ(ปี2549) พร้อมด้วยการเกิดขึ้นศูนย์การค้า คิง เพาเวอร์ รางน้ำ
ตามตรรกะ ซึ่งพอจะอรรถาธิบายพัฒนาการสำคัญ คิงเพาเวอร์ จากจุดนั้นได้ หนึ่ง-อ้างอิงกับพัฒนาการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หนึ่งในท่าอากาศยานที่มีผู้โดยสารมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก จากประมาณ 40ล้านคนตั้งแต่เปิดบริการ จนมาทะลุ50ล้านคนในอีกเพียง5ปีถัดมา สอง- กลุ่มคิงเพาเวอร์ก้าวสู่ธุรกิจข้างเคียงที่น่าสนใจ โดยเฉพาะกรณีซื้อสโมสรฟุตบอลระดับโลก Leicester City Football Club พร้อมเปลี่ยนชื่อ Walkers Stadium เป็น King Power Stadium(ปี2553) และ ได้เข้าซื้อ ตึกระฟ้า-มหานครซึ่งถือว่าสูงที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ฯ เฉพาะส่วนโรงแรม ชั้นชมทัศนียภาพ และส่วนมหานครคิวบ์ แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น คิง เพาเวอร์ มหานคร(ปี2561)
ปรากฏการณ์ คิงเพาเวอร์ข้างต้นเป็นเรื่องน่าทึ่ง แม้ว่าจะดำเนินไปในช่วงเวลาสังคมไทยไม่ปกตินัก ย่อมสะท้อนถึงความยิ่งใหญ่ในฐานะ“บริษัทชั้นนำในธุรกิจการค้าปลีก” อย่างมิพักสงสัย
มุมมองอย่างกว้างๆธุรกิจค้าปลีก โดยเฉพาะศูนย์การค้าใหญ่กลางเมืองหลวง ล้วนนำเสนอกลุ่มลูกค้าเป้าหมายสำคัญ เป็นนักท่องเที่ยว เช่นเดียวกับ คิงเพาเวอร์อยู่แล้ว ช่างบังเอิญ ทั้งกลุ่มเซ็นทรัลและสยามพิวรรธน์(เพิ่งเปิดห้างไอคอนสยาม)ซึ่งเป็นผู้นำ ล้วนตั้งเป้าหมายอย่างจริงจังเช่นนั้น ยิ่งเมื่อทั้งสองราย มีแผนการรุกประชิดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิด้วยแล้ว จึงเป็นเเรื่องน่าตื่นเต้นมากขึ้น
ไม่ว่าจะมองมุมใด กรณี Central Village สั่นสะเทือน และตอกย้ำปรากฏการณ์สังคมธุรกิจไทยอย่างที่ผมเคยนำเสนอไว้เมื่อเกือบๆ10ปีที่แล้ว กรณี –Carrefour
“แรงปะทะอันเปรี้ยงปร้างของ“รายใหญ่”ที่ไม่อาจปรองดองกันได้ เป็นปรากฏการณ์ทุกมิติในสังคมไทย สำหรับสังคมธุรกิจไทยถือว่าเป็นวิวัฒนาการใหม่อันซับซ้อนที่น่าสนใจ จากเดิมมีโครงสร้างง่ายๆ บรรดาผู้ทรงอิทธิพลซึ่งมีจำนวนไม่มากราย การแบ่งพื้นที่ แบ่งประเภทธุรกิจ เป็นระบบจัดสรรผลประโยชน์และโอกาสที่ลงตัว แต่วันนี้พื้นที่และโอกาสแห่งผลประโยชน์ ไม่อาจจัดสรรด้วยระบบเดิมอีกต่อไป ไม่เพียงแต่รายใหญ่เดิมเติบโตมากขึ้น ต้องการขยายอิทธิพลแนวกว้างมากขึ้นเท่านั้น ยังปรากฏผู้เล่นรายใหม่อย่างหลากหลาย เข้ามาขอส่วนแบ่ง ไม่ว่าจะเป็นรายย่อยที่มีความพลิกแพลงและเข้มแข็งขึ้น รวมทั้งผู้เล่นจากภายนอกซึ่งมีพลังมากเป็นพิเศษ จึงเพิ่มแรงกดันมากขึ้น การรักษาโอกาส และพื้นที่ของบรรดา “รายใหญ่” มีความร่วมมือมากกว่าการแข่งขันในอดีต กลายเป็นอดีตไปแล้วจริง ๆ จึงเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้เสียแล้วที่ซ้อนทับกันเอง และตามมาด้วยแรงปะทะสั่นสะเทือนไปทั่ว”
ขณะนั้น(ปี2553) Carrefour เครือข่ายค่าปลีกแห่งฝรั่งเศสในประเทศไทยประกาศขายกิจการ ปรากฏปรากฏกาณ์อันตื่นเต้น เมื่อปตท.ประกาศเข้าร่วมประมูล ท่ามกลางรายใหญ่ๆหลายรายร่วมวง ไม่ว่าเซ็นทรัล ทีซีซี และซีพี แรงกดดันถาโถมหลายทาง มายังปตท.ในที่สุดปตท.ต้องประกาศถอนตัว โดยระบุว่า “เนื่องจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสำคัญของ ปตท. หลายราย มีความเห็นว่า ปตท. ไม่ควรเข้าไปประมูลแข่งขันในครั้งนี้”
แม้ว่าต่อมา Big C (ขณะนั้นเป็นของ Casino แห่งฝรั่งเศส) ชนะการประมูลซื้อและควบรวมกิจการ Carrefour ในประเทศไทย(ปลายปี2553) ทว่าในที่สุดกลุ่มทีซีซีได้เข้าซื้อเครือข่ายBig C ในประเทศไทยอีกทอดหนึ่ง(ปี2559) ถือเป็นการพลิกโฉมธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง ให้ครึกโครม เข้มข้นขึ้น เมื่อกลุ่มทีซีซีเข้ามาอย่างเต็มตัว
กรณี Central village ซึ่งเชื่อมโยงโดยตรงถึง กลุ่มเซ็นทรัล สยามพิวรรธน์กับSiam Premium Outlets จะตามมาในไม่ช้า ย่อมมี คิงเพาเวอร์ อยู่ในภาพอ้างอิง คงเพิ่มดีกรี “ครึกโครม เข้มข้นขึ้น”อีกมาก ท่ามกลางสถานการณ์การท่องเที่ยวไทยเผชิญความท้าทายมากขึ้นเสียด้วย