เกี่ยวกับความอยู่รอด การปรับตัว และโอกาสใหม่ ของธุรกิจครอบครัวเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในสังคมไทย







เรื่องราวธุรกิจครอบครัวเดินหน้าในวาระ130ปี กำเนิดจาก “ร้านขายยาสมุนไพรแผนโบราณภายใต้ชื่อ เต๊กเฮงหยู โดยคิดค้นยากฤษณากลั่น ตรากิเลน ที่มีสรรพคุณช่วยรักษาอาการปวดท้อง ท้องเสีย” เป็นฉากแรกสำคัญของบริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน)
เรื่องราวผลิตภัณฑ์เข้าถึงผู้คนวงกว้างขึ้นๆ จากยุคหนึ่งสู่อีกยุค เป็นไปอย่างตื่นเต้น จากยาสมุนไพรแผนโบราณ-ยากฤษณากลั่น ตรากิเลน ในยุคสมบูรณายาสิทธิราชย์ สู่ยาสามัญประจำบ้าน-ยาทัมใจ ในยุคเปลี่ยนแปลงการปกครอง มาจนถึงเครื่องดื่มชูกำลัง –M150 ในยุคสมัยใหม่ตลาดฐานกว้าง เป็นผลิตภัณฑ์มียอดขายมากถึงปีละราว ๆ 2 หมื่นล้านบาท และมีสัดส่วนมากถึง 70%ของยอดขายทั้งสิ้น บริษัทโอสถสภา ปัจจุบัน
จากยุคผู้ก่อตั้ง ก้าวมาจนถึงวันนี้ ผ่านมาแล้ว4 รุ่น ถือว่าเป็นธุรกิจครอบครัวที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งซึ่งคงอยู่ สามารถปรับตัวและเติบโต ธุรกิจครอบครัวภายใต้โครงสร้างความเป็นเจ้าของ การบริหารจัดธุรกิจ ภายในตระกูลเป็นไปอย่างเข้มข้นอย่างต่อเนื่อง เป็นหนึ่งในไม่กี่ตระกูลธุรกิจสังคมไทยที่เป็นเช่นนั้น
เมื่อเร็วๆนี้ เรื่องราวการขยับปรับเปลี่ยนบางอย่าง เกี่ยวข้องโครงสร้างผู้ถือหุ้นโอสถสภา ภายในครอบครัว จึงเป็นเรื่องที่ตื่นเต้นขึ้นมา เป็นที่น่าสนใจอยู่บ้าง
กรณีรายการซื้อขายหลักทรัพย์บริษัทโอสถสภาจำกัด (มหาชน) จำนวนมากครั้งเดียว เรียกกันว่า “Big Lot” 762,718,000 หุ้น คิดเป็น 25.39% ของทุนจดทะเบียน มีการคำนวณกันคร่าวๆ อ้างอิงราคาซื้อขายในตลาดหุ้น จะเป็นดีลมีเงินก้อนใหญ่กว่า 25,000ล้านบาท
คำแถลงของโอสถสภาให้ข้อมูลเกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับหุ้นสัดส่วนราว ๆ12% กล่าวถึงผู้ขายซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น 2 รายในกลุ่มเดียวกันที่เรียกว่า Orizon ซึ่งขยายความว่า “ กลุ่มบุคคลที่กระทำการร่วมกัน หรือ acting in concert ประกอบไปด้วย นิติบุคคลในนาม Orizon Limited และบุคคลในครอบครัว เพชร- รัตน์ โอสถานุเคราะห์”
ส่วนOrizon Limited เป็นบริษัทตั้งขึ้นภายใต้กฎหมายฮ่องกง ถือหุ้น100%โดยอีกบริษัทหนึ่ง ทั้งนี้ระบุว่า ครอบครัว เพชรและรัตน์ โอสถานุเคราะห์ ได้รับประโยชน์เท่าๆกันในสัดส่วน50/50(อ้างจาก บริษัท โอสถสภา จำ กัด (มหาชน) / แบบ 56-1 ONE REPORT 2563)
บทสรุปแห่งดีล เรียกกันว่าเป็นการซื้อขายหุ้นอย่างเจาะจง(Private placement) โครงสร้างผู้ถือหุ้นโอสถสภา มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยยะ กลุ่มOrizon เคยถือหุ้นใหญ่ที่สุด ในสัดส่วน 27.75% จะกลายเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ2 มีสัดส่วนเหลือ15.06% ส่วนผู้ถือหุ้นอันดับ1 ขึ้นมาแทนที่ได้แก่ บุคคลในตระกูลโอสถานุเคราะห์เช่นกัน(นิติ โอสถานุเคราะห์) มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น23.80%โดยเป็นผู้ซื้อรายใหญ่รายหนึ่งในดีลนี้
หากจะให้ตีความอย่างเจาะจง เป็นไปได้ว่าในกลุ่มOrizon ซีกที่ขายหุ้นออกไปมากที่สุด คงเป็นเฉพาะครอบครัว เพชร โอสถานุเคราะห์
พิจารณาและอ้างอิง กรณีขายหุ้นในชื่อตนเองถือทั้งหมด และในฐานะประธานกรรมการบริหารโอสถสภา เขาได้แถลงเหตุผลอย่างทันท่วงที “เนื่องด้วยทางครอบครัวของเรามีโครงการต่าง ๆ ทีได้ไตร่ตรองมานานแล้ว กล่าวคือโครงการด้านศิลปะวัฒนธรรม และด้านการศึกษา จึงต้องใช้งบประมาณสนับสนุนสูงเกินกว่าที่ครอบครัวเราจะทำได้ ดังนั้น เรามีความจำเป็นที่จะต้องทำการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของการลงทุน โดยการขายหุ้นบางส่วน..”
เพชรกับรัตน์ โอสถานุเคราะห์ เป็นพี่น้องกัน เป็นรุ่นที่4ของตระกูลธุรกิจครอบครัว เป็นทีมที่มีบทบาทสำคัญและต่อเนื่องในโอสถสภา จนถึงปัจจุบัน บิดาของพวกเขา-สุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ ผู้นำในรุ่นที่3ผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในยุคขยายตัวทางธุรกิจ เป็นบุตรคนที่2ของ สวัสดิ์ โอสถานุเคราะห์ ผู้วางรากฐานสำคัญอันมั่นคงให้กับโอสถสภา ภายใต้ระกูลธุรกิจรุ่นที่2 ต่อจากยุคผู้ก่อตั้ง โดยแป๊ะ โอสถานุเคราะห์(เดิม แซ่ลิ้ม)
ส่วนนิติ โอสถานุเคราะห์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดรายใหม่ คนรุ่นที่4เช่นเดียวกัน บิดาของเขา-สุรินทร์ โอสถานานุเคราะห์ ผู้เป็นน้องสุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ และบุตรชายคนสุดท้ายของสวัสดิ์ โอสถานุเคราะห์ ปัจจุบันสุรินทร์ ในฐานะอาวุโส คงดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการ โอสถาสภา
เชื่อกันว่าจะมีการขยับปรับเปลี่ยนผู้คนและบทบาทภายในตระกูลโอสถานุเคราะห์ ซึ่งเป็นครอบครัวใหญ่ มากกว่า จะเป็นการปรับเปลี่ยนระดับโครงสร้างธุรกิจในโอสถสภา
ในมุมมองกว้างขึ้น การปรับเปลี่ยนบางอย่างภายในโอสถสภาที่ว่านั้น มีบางมิติ บางบริบท เป็นไป เปลี่ยนแปลงและเกี่ยวเนื่อง ทั้งมุมมองเชิงบวกและลบ
“สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงและส่งผลกระทบอย่างมากต่อระบบเศรษฐกิจและการดำเนินธุรกิจของทุกภาคส่วนในปีที่ผ่านมา อุปสรรคสำคัญในการดำเนินธุรกิจคือความไม่แน่นอน และผลกระทบที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ อย่างไรก็ตาม ด้วยประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจมากว่า 129 ปี …ทำให้โอสถสภา สามารถรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ” ตอนสำคัญ ของสาร Chief Executive Officer กล่าวไว้(อ้างแล้ว) คงจะเป็นจริงตามนั้น เมื่อพิจารณาผลประกอบการในช่วงต่อเนื่อง3ปี(2561-2563) ไม่ว่ารายได้(ระดับ25,000ล้านบาท)และกำไร(ระดับ3,000ล้านบาท)คงรักษาระดับไว้ เช่นเดียวกับราคาหุ้นในตลาดปัจจุบัน
ขณะอีกบางตอนได้รายงานแผนการสำคัญ “ในปี 2563 ยังมีอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของโอสถสภา ได้แก่ การเปิดโรงงานผลิตเครื่องดื่มแห่งใหม่ในเมียนมาร์อย่างเป็นทางการเมื่อเดือนกรกฎาคม 2563” ถือเป็นโรงงานแห่งแรกในต่างประเทศของโอสถสภา ตามแผนการสร้างรากฐานธุรกิจอย่างแข็งขันในเมียนมาร์ “เครื่องดื่มตราสินค้าชาร์คจับกลุ่มพรีเมียม ครองอันดับหนึ่งในกลุ่มเครื่องดื่มบำรุงกำลัง และโอสถสภาคงความเป็นผู้นำในตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังในเมียนมาร์”
ทว่าสถานการณ์ในประเทศเมียนมาร์ ตั้งแต่ต้นปี2564 เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากอย่างคาดไม่ถึง ยากจะคาดเดา เชื่อว่าส่งผลสะเทือนถึงความเป็นไประยะข่างหน้าของโอสถสภา ไม่ทางตรง ก็ทางอ้อม ไม่มากก็น้อย
ไม่ว่าเป็นวิกฤติการณ์ Covid-19 และ ความรุนแรงในเมียนมาร์ เป็นเพียงหนึ่งในความท้าทายสำคัญในช่วงกว่าศตวรรษโอสถสภาที่เผชิญมา
—————————————————
เหตุการณ์สำคัญ
2434
ก่อตั้งร้านขายยาสมุนไพรแผนโบราณ ภายใต้ชื่อ เต๊กเฮงหยูโดยคิดค้นยากฤษณากลั่น ตรากิเลน
2475
ย้ายไปถนนเจริญกรุง และเปลี่ยนชื่อร้านเป็น“โอสถสถานเต๊กเฮงหยู” นอกจากมี ยากฤษณากลั่นตรากิเลน ได้ผลิตยาสามัญประจำบ้านอื่น ๆ อีกหลายชนิด ที่น่าสนใจ คือ “ยาทัมใจ”
2492
ตั้งโรงงานย่านซอยหลังสวนด้วยเครื่องจักรทันสมัย และจดทะเบียนเป็น บริษัทโอสถสภา (เต๊กเฮงหยู) จำกัด
2508
เปิดตัวผลลิตภัณฑ์ เครื่องดื่มบำรุงกำลัง เป็นครั้งแรกในประเทศไทย-ในแบรนด์ “ ลิโพวิตัน-ดี( Lipovitan D)” โดยได้รับ licensee จากTaisho Pharmaceutical Co. ประเทศญี่ปุ่น
2517
ควบรวมสำนักงานเจริญกรุงและโรงงานซอยหลังสวน มาอยู่ที่เดียวกัน ณ สำนักงานใหญ่ ริมถนนรามคำแหง หัวหมาก เนื้อที่กว่า 70 ไร่ จนถึงทุกวันนี้
2528
เปิดตัวผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มบำรุงกำลังในแบรนด์ของตนเอง M-150
2538
เปลี่ยนชื่อเป็น“บริษัท โอสถสภา จำกัด”
2558
ร่วมทุนกับ Loi Hein Company Ltd แห่งเมียนมาร์ เพื่อผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มในประเทศเมียนมาร์
2561
เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ ‘OSP’