วีรพงษ์ รามางกูร: มากกว่าความเป็นนักเศรษฐศาสตร์

เขาเป็นนักเศรษฐศาสตร์คนเดียวในสังคมไทยที่ทรงอิทธิพลที่สุดในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา “ความคิด” เป็นสิ่งที่สัมผัสได้เสมอ แต่มิใช่ปัจจัยเดียวของ “อิทธิพล” ทั้งมวลของเขา

ยิ่งไปกว่านั้น  เขาอาจได้ชื่อว่าเป็น “เทคโนแครต” คนสุดท้ายที่มีภูมิหลังและเส้นทางชีวิตและการทำงานด้านนโยบายรัฐมีความต่อเนื่อง ภายใต้ระบบการเมืองไทย จากยุคกึ่งเปิดกึ่งปิดไปสู่ระบบเปิด “ผมทำงานตั้งแต่ปี 2523 คงทนที่สุด ต่อเนื่องที่สุด และเห็นมากที่สุด” เขาเองยอมรับอย่างนั้น

ดร.วีรพงษ์ รามางกูร เริ่มมีบทบาทด้านนโยบายเศรษฐกิจ ตั้งแต่เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในยุคพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งต่อเนื่องยาวนานที่สุดคนหนึ่งในการเมืองไทย (2523-2531) จากนั้น วีรพงษ์ มีโอกาสดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และรองนายกรัฐมนตรี  กระทั่งเป็นที่ปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการของทีมทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คนปัจจุบัน “ปกติเขามาประชุมกับทีมที่ปรึกษา สัปดาห์ละ 1 ครั้ง” พันศักดิ์ วิญญรัตน์ ประธานที่ปรึกษานโยบายนายกรัฐมนตรี (ทักษิณ ชินวัตร) บอกว่าอย่างนั้น นอกจากนี้ เวลามีการประชุมเรื่องนโยบายสำคัญก็เข้าร่วมด้วย

“เวลามีการพรีเซ็นต์งานนโยบายเศรษฐกิจสำคัญก็ไปด้วย ไม่มีตำแหน่งอะไร ไปในฐานะนายวีรพงษ์” วีรพงษ์ รามางกูร ว่าไว้อย่างนั้น ทั้งนี้จากนี้ไปเขาตั้งใจว่าจะไม่เข้าร่วมบริหารงานด้านการเมืองโดยตรงอีกแล้ว โดยบอกว่า ทำมานานแล้ว และจากนี้ไปจะให้ความเห็นในเรื่องนโยบายเศรษฐกิจตามที่เห็นสมควร “นอกนั้น ก็ทำงานหากินไป เก็บสตางค์ให้ลูกให้เมีย”

ดร.วีรพงษ์ เป็นตัวอย่างคนที่มาจากฐานรากของสังคม สามารถเติบโตในหน้าที่การงาน จุดเริ่มต้นจากคนเรียนเก่ง ภายใต้ระบบการศึกษาของไทย ดังนั้นดูเหมือนเขาจึงไม่ให้ความสำคัญในการวิตกวิจารณ์ระบบการศึกษาไทย เช่นที่ผู้คนทั่วไปกำลังทำกัน

บิดาของเขาเป็นคนอำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ริมฝั่งแม่น้ำโขงติดต่อชายแดนลาว ญาติหลายคนของเขา กลายเป็นพลเมืองลาวมาตั้งแต่รุ่นปู่  เขาเองก็เคยมีโอกาส รับใช้ประเทศลาวในฐานะที่ปรึกษาอาวุโสด้านวางแผนเศรษฐกิจอยู่ 6 เดือนในปี 2533

เรื่องราวประวัติตระกูลรามางกูร  หาอ่านได้จากหนังสือ “อนุสรณ์ ร้อยตำรวจตรีประดิษฐ์ รามางกูร 22 กันยายน 2528” หนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพบิดาของ ดร.วีรพงษ์ รามางกูร ในช่วงเป็นที่ปรึกษานายกเปรม  เนื้อหาหนังสือเล่มนี้ สะท้อนภูมิหลังของ ดร.วีรพงษ์ ทั้งนี้เนื้อหาส่วนใหญ่ของหนังสือเล่มนี้ เขาเองเป็นผู้เขียน  โดยเฉพาะประวัติบิดา เรื่องราววงศ์ตระกูล โดยค้นคว้า และการรวบรวม เรื่องราวต่างๆจากญาติๆอีกทอดหนึ่ง

นอกจากนั้น เนื้อหาหลักของหนังสือ ได้รวบรวมคำแถลง สุนทรพจน์ คำปราศรัยและสาสน์ของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีในช่วงปี 2523-2528 อันสะท้อนหน้าที่การงานที่สำคัญของ ดร.วีรพงษ์ รามางกูร ในช่วงนั้นด้วยอย่างแยกไม่ออก

ส่วนเรื่องราวตระกูลรามางกูรอย่างย่อๆ ตอนหนึ่งขียนโดย ดร.วีรพงษ์ รามางกูรระบุว่า “บรรดาพี่น้องทั้งหมดมีความเห็นร่วมกันว่าควรจะยกย่อง “ขุนรามฯ” เป็นต้นตระกูลรามางกูร  ขุนรามฯ มีชื่อเดิมว่าอย่างไรไม่มีใครทราบ ทราบแต่บรรดาศักดิ์ สร้อยของบรรดาศักดิ์ว่าอย่างใดก็ไม่มีใครทราบ ทราบแต่ว่าขุนรามฯ อยู่เมืองธาตุพนม ซึ่งเป็นหัวเมืองขึ้นกับเมืองนครพนมของไทยมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ขุนรามฯ มีชีวิตอยู่ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์” 

เมื่อพิจารณา Family Tree แล้ว ขุนรามฯ เป็นปู่ของ ร.ต.ต.ประดิษฐ์ รามางกูร

บิดาของ ดร.วีรพงษ์  จบการศึกษา ป.4 และทำนาอยู่ที่นครพนม ต่อมาพี่ชายของเขาคนหนึ่ง ซึ่งบวชเป็นพระที่วัดบวรนิเวศวิหาร (ดร.วีรพงษ์ ก็ได้อุปสมบทที่วัดนี้ด้วยเช่นกัน โดยสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อปี 2519) ชักชวนเข้ากรุงเทพฯ มีโอกาสได้เรียนโรงเรียนช่างกลของเลื่อน พงษ์โสภณ ต่อมาได้สมัครเป็นตำรวจในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา ต่อมาได้ย้ายจากนครพนม มาประจำที่สถานีตำรวจนครบาลยานนาวา (ปี 2484) ได้แต่งงานกับบุญศรี ซึ่งเป็นชาวนา อยู่บางบ่อ “ผมเกิดช่วงสงครามพอดี ไปอยู่กับยายที่บางบ่อ อยู่ท้องนา ตายายทำนา ตอนเล็กๆปิดเทอมก็อยู่ท้องนา เคยย้ายไปอยู่อีสานกับพ่อ 7 ปี จบประถมปีที่ 4 ย้ายกลับเข้ากรุงเทพฯ” ดร.วีรพงษ์ เล่าถึงชีวิตของเขา โดยบอกว่าเขาเกิดที่กรุงเทพฯ ตามประวัติที่รู้กันทั่วไประบุว่าเขาเกิดวันที่ 1 สิงหาคม 2486  หลังจากนั้นอีก 3 ปี บิดาของเขาขอย้ายกลับนครพนม ดร.วีรพงษ์ มีโอกาสเข้ารับการศึกษาชั้นประถมที่นั่น ก่อนจะย้ายตามบิดาอีกครั้งเข้ากรุงเทพฯ(ปี 2496) เพื่อเข้าเรียนหนังสือระดับมัธยมศึกษา

เขาเป็นคนเรียนหนังสือเก่งมาก   ฉายแววอย่างสำคัญเมื่อเข้าเรียนที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  โดยได้รางวัลเรียนดีใน 3 ปีแรก และจบการศึกษาด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทอง นี่คือ บันไดขั้นสำคัญในชีวิต  เขาจึงมีโอกาสได้ศึกษาต่อต่างประเทศ เช่นเดียวกับโมเดลการไต่เต้าของ “เด็กบ้านนอก” ทั่วไป ในยุคก่อนหน้านั้น

เมื่อจบการศึกษาในปี 2508 เขาได้บรรจุเป็นอาจารย์ คณะรัฐศาสตร์จุฬาฯ เป็นที่รู้กันว่ากำลังรอทุนไปศึกษาต่อต่างประเทศ ประสบการณ์สำคัญในช่วงนั้น ทำให้เขามีโอกาสเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสังคมสื่อมวลชนไทยในเวลาต่อมา เชื่อกันว่า มีส่วนลดแรงเสียดทาน เวลามีปัญหาการทำงานในเวลาต่อมา

เขาเข้าไปทำงานในฐานะผู้บุกเบิกสร้างแผนกอิสระสื่อสารมวลชนของจุฬาฯ ซึ่งต่อมาเป็นคณะนิเทศศาสตร์  มีโอกาส มีความสัมพันธ์กับบรรดานักหนังสือพิมพ์อาวุโส  ผู้เข้ามาเรียนหลักสูตรพิเศษด้วย

ที่สำคัญจากนั้น คือการใช้ชีวิตเป็นนักเรียนนอกที่สหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 5 ปีครึ่ง ซึ่งถือเป็นบันไดขั้นสำคัญมาก  ก้าวจากสังคมฐานราก ไปสู่สังคมระดับบนได้อย่างไม่เคอะเขิน

ในช่วงนั้น  ประเทศไทยกำลังเดินแผนพัฒนาประเทศขนานใหญ่ ในช่วงรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ โดยมีสหรัฐอเมริกา เป็นผู้สนับสนุนสำคัญ  รวมถึงการให้ทุนการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์  “เป็นยุคเศรษฐศาสตร์เฟื่องฟู  รุ่นผม มี ดร.โอฬาร ไชยประวัติ  วิจิตร สุพินิจ ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ประทีป สนธิสุวรรณ รวมทั้ง ณรงค์ชัย อัครเศรณี และสาธิต อุทัยศรี กลับมาไล่เลี่ยกัน” ดร.วีรพงษ์ กล่าวถึงนักเศรษฐศาสตร์กลุ่มที่มีบทบาทในภาครัฐของสังคมไทยต่อจากนั้นมา   เขาเองได้ทุนจากมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ เป็นทุนก้อนใหญ่ที่สุดในเวลานั้น จ่ายให้มากถึงเดือนละ 300 เหรียญสหรัฐ  จนทำให้เขาเก็บเงินกลับมาสร้างบ้านหลังแรกได้

นักวิชาการเหล่านี้ ได้รับอิทธิพลทางความคิดในช่วงสังคมอเมริกันกำลังมีความขัดแย้งทางความคิดกันมาก เกี่ยวข้องกรณีสงครามเวียดนาม ความคิดมักเอนเอียงไปทางต่อต้านสงครามด้วย ครั้นกลับมาประเทศไทยในภาวะสังคมที่ปิดกั้น ทำให้นักวิชาการเหล่านั้่นรวมกลุ่ม พุดคุย ถกเถียงปัญหาสังคมกัน รวมทั้งมีส่วนสนับสนุนขบวนการนักศึกษาในการเรียกร้องประชาธิปไตยในยุคนั้นด้วย

หนึ่งในบรรดานักวิชาการ หรือผู้ผ่านการศึกษาจากต่างประเทศ ร่วมถกปัญหาประเทศชาติ นั้นคือ พันศักดิ์ วิญญรัตน์  “คุณพันศักดิ์ ไม่ใช่สนิทกันสมัยที่เป็นที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลก สนิทกันมาตั้งแต่หนังสือจตุรัส สมัยนั้นเป็นหนังสือวิชาการซ้ายๆ ต่อต้านสงครามเวียดนาม  ก็คล้ายๆกับนักเรียนอเมริกันยุคนั้น” เขาพาดพิงถึงประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี 2 คน ต่างวาระ (พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ กับ ดร. ทักษิณ ชินวัตร) เขาเองยอมรับว่าได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลังเมื่อปี 2533 พันศักดิ์ วิญญรัตน์ ก็มีส่วนเสนอชื่อเขา และเขาเน้นว่า ถือว่าเป็นครั้งแรก ครั้งเดียวที่เขาต้องการจะเป็นรัฐมนตรีคลัง โดยใช้คำว่า “เพราะยังไม่เคยเป็น อยากจะเป็นผู้ปฏิบัติ” แต่การดำรงตำแหน่งทางการเมืองในครั้งต่อๆมา เขาเล่าว่า ล้วนถูกบีบให้เป็น

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเขาต้องการเป็นรัฐมนตรี กลับกลายเป็นช่วงที่ฉุกละหุก ด้วยความไม่พร้อมหลายประการ ทำให้มีปัญหามากพอควร

ดร.วีรพงษ์ รามางกูร เป็นอาจารย์เศรษฐมิติคนแรกๆ ของไทย (จบปริญญา โท-เอก ทางเศรษฐศาสตร์ University of Pennsylvania, U.S.A.) ทำให้ต้องเดินสายสอนหนังสือหลายมหาวิทยาลัย เป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง  กลายเป็นนักเศรษฐศาสตร์ผู้มีชื่อเสียง จนเป็นคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ ด้วยวัยยังไม่ถึง 40 ปี   มีส่วนชักนำให้เขาได้เข้าร่วมอยู่ในงานด้านนโยบายของรัฐบาล ถือเป็นช่วงประสบการณ์ที่สำคัญของชีวิต

“เป็นที่ปรึกษานายกฯ  ป๋าเปรมตั้งให้เป็นกรรมการระดับชาติหลายคณะ เข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีด้วย บางครั้งป๋าก็เรียกให้แสดงความเห็น เราไม่ได้เป็นรัฐมนตรี ไม่ได้เป็นข้าราชการ อาศัยบารมีนายกฯ  ทำให้คนเกรงใจพอสมควร” เขากล่าวสรุปถึงบทบาทในช่วงนั้น เป็นที่รู้กันว่าเขานั่งในคณะกรรมการด้านนโยบายเศรษฐกิจหลายชุด ไม่ว่าจะเป็นกรรมการธนาคารชาติ หรือสภาพัฒนฯ

เรื่องราวว่าด้วยบทบาทสำคัญในฐานะที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง และได้รับความไว้วางใจอย่างมาก เป็นที่เล่าขาน  และสื่อได้นำเสนอมากในช่วง 10 ปีมานี้ โดยเฉพาะบทบาทในการตัดสินใจลดค่าเงินในช่วงปี 2527  ด้วยบทพิสูจน์ว่าเป็นการตัดสินใจที่สำคัญในการแก้ปัญหา เศรษฐกิจา ตัวเขาเองก็ภูมิใจในบทบาทนี้อย่างมากเช่นกัน แม้กระทั่งการสนทนาล่าสุดกับผม เขายังเน้นว่า “จังหวะดี ที่ได้รับโอกาสทำงานกับป๋าเปรม สำคัญมาก” เขาย้ำด้วยว่า “8 ปีครึ่ง มีเรื่องทุกอาทิตย์เป็นความสำเร็จของประเทศไทย …”

มีน้อยครั้ง ที่เขาถูกวิจารณ์ ซึ่งก็ไม่หนักหนา  “อาจถือได้ว่าดร.วีรพงษ์ รามางกูรเป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจในรัฐบาลกึ่งประชาธิปไตยที่ทรงอิทธิพลทางความคิดมากคนหนึ่ง เป็นที่ปรึกษาที่เสนอความคิดผ่านนักการเมือง ในยุคที่ขบวนการตรวจสอบสาธารณะอ่อนแอ เขายืนอยู่หลังฉาก และไม่ต้องรับผิดชอบหรือแสวงหาคำอธิบายใดๆ อย่างชัดเจน ต่อการกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยตรง ไม่ต้องเผชิญกับกระบวนการตรวจสอบอย่างเข้มข้น เพราะผู้นำทางการเมืองยุคนั้นออกหน้า รับแทนอย่างมั่นคง  บางคนกล่าวว่า เขาเป็นเทคโนแครตที่ทำงานในระบบการเมืองกึ่งเปิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เขากลายเป็นคนที่ได้รับการยอมรับทั้งในและต่างประเทศ และที่สำคัญเขากลายเป็นสัญลักษณ์ของเทคโนแครตที่พร้อมจะกอบกู้วิกฤติของสังคมไทยได้ทุกเมื่อ    ทว่าคนเก่งในยุคหนึ่ง บางครั้งไม่อาจจะดำรงความสามารถในอีกยุคสมัยหนึ่ง” (วิรัตน์ แสงทองคำ จากคอลัมน์ “หมายเหตุธุรกิจ” ผู้จัดการรายวัน 19 เมษายน 2540)

สิ่งที่เขาไม่ค่อยได้เล่าในวงกว้างอย่างหนึ่ง คือประสบการณ์ครั้งนั้นได้สร้าง “สายสัมพันธ์” โดยเฉพาะกับกองทัพไว้อย่างต่อเนื่อง และนี่คือบุคลิกสำคัญอย่างหนึ่งในฐานะบุคคลผู้มีประสบการณ์ อย่างต่อเนื่อง อยู่วงในและเข้าใจสังคมไทย เขาจึงเป็นมากกว่านักเศรษฐศาสตร์มหภาค

“ผมสนิทกับทหารมากกว่านักการเมือง” เขายอมรับอย่างสนิทใจ โดยเล่าถึงภูมิหลังไว้อย่างน่าสนใจ  “..หลายครั้งที่มีปัญหาหนักๆทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเรื่องการเงิน ป๋าไม่เคยที่ไม่ให้เกียรติทหาร ที่จะต้องรับรู้ปัญหาของชาติด้วย  เช่น  มีข่าวฮือฮาว่าจะต้องใช้เงินตราต่างประเทศจำนวนมากในการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ แล้วความจำเป็นต้องเลื่อนออกไปบ้าง หรือลดลงบ้าง ท่านก็ให้ผมไปชี้แจงผู้บังคับบัญชาเหล่าทัพ

ในตอนลดค่าเงินบาทซึ่งถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก เขาเล่าเรื่องที่มีความหมาย  ตีความเชื่อมโยงไปเกี่ยวกับกรณีความสัมพันธ์ระหว่างพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ กับพลเอกอาทิตย์ กำลังเอก  “ในช่วงลดค่าเงินบาท ท่านก็จัดให้ผมไปบรรยายถึงฐานะที่แท้จริงของการเงินการคลัง ให้ผู้บัญชาการ 3 เหล่าทัพ รวมทั้งผู้บัญชาการทหารสูงสุด ตอนนั้นพลเอกอาทิตย์ กำลังเอก ไม่ได้มา ท่านส่งพลเอกบรรจบ บุนนาค มาแทน   เหล่าทัพอื่นๆ ผู้บัญชาการและเสนาธิการมาเอง จัดให้บรรยายที่ตึกไทยคู่ฟ้า ปิดห้อง มีคนฟัง 5-6 คน “

จากจุดนั้น ถือว่าเขามีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับทหารมาหลายยุค หลายคนที่อยู่ในอำนาจต่อๆ มาล้วนเป็นทส.ของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ มาก่อน ไม่ว่า พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ พลเอกมงคล อัมพรพิสิษฐ์ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ รวมทั้งพลตรีมนูญ รูปขจร แม้กระทั่งพลเอกสุจินดา คราประยูร ซึ่งทำให้เขาจำต้องรับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคลังในรัฐบาลรสช.  ทั้งนี้เพราะความเกรงใจ

และอีกครั้งที่จำเป็นต้องรับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจเมื่อ 15 สิงหาคม 2540 ที่ว่ากันว่า ทำหน้าที่ประสานงานกับไอเอ็มเอฟโดยตรงนั้น เขาเล่าไว้อย่างเร้าใจ

“ครั้งที่ 3 บ้านเมืองวิกฤติอย่างมาก ผมประชุมอยู่ที่สภาวิจัยฯ ได้รับโทรศัพท์จากพลเอกมงคล อัมพรพิสิษฐ์ ว่ามีเรื่องจะหารือ ให้ไปพบที่กองบัญชาการกองทัพบก เราไม่รู้เรื่องอะไร ก็โดนล็อก ไปหาป๋าก็ต้องรับ” ซึ่งอยู่ในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีไม่ถึง 3 เดือนก็พ้นตำแหน่ง เมื่อพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ลาออกจากนายกรัฐมนตรี แล้วพรรคประชาธิปัตย์ เข้าเป็นแกนนำของรัฐบาลชุดใหม่

บทเรียนที่ทดสอบความแข็งแกร่งของภูมิปัญญาประสบการณ์และสายสัมพันธ์นั้นคงไม่พ้นกรณีธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ (บีบีซี) ซึ่งเขาได้รับการเชื้อเชิญให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาบีบีซี จากวิจิตร สุพินิจ ผู้ว่าแบงก์ชาติยุคนั้น ซึ่งถือว่าเป็นเพื่อนกัน และเขาเองก็เป็นคนแต่งตั้งวิจิตร สุพินิจ เป็นผู้ว่าการในช่วงเป็นรัฐมนตรีคลัง “ผมถือว่าเป็นช่วงเปลืองตัวมาก ที่สุดในชีวิต เกือบไป” เขายอมรับว่า ด้วยความสัมพันธ์กับสื่อมวลชนมายาวนาน อย่างจริงใจ มีส่วนทำให้เขารอดพ้นเหตุการณ์ครั้งนั้นมาได้

วันนี้เขามีตำแหน่งสำคัญทางธุรกิจหลายตำแหน่ง โดยเฉพาะเป็นประธานคณะกรรมการบริหารบริษัทแอดวานซ์อะกริโกรของกลุ่มเกษตรรุ่งเรือง และเป็นที่ปรึกษาธนาคารกรุงเทพ ทำให้มีการพบปะกับพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นประจำเดือนละครั้งในที่ประชุมที่นั่นด้วย

เขาบอกว่าเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่ารายได้จากการทำงานภาคเอกชนจะมีมากมายเพียงนี้ จากประสบการณ์ใหม่นี้ ทำให้เขามีความเข้าใจธุรกิจในมิติที่กว้างมากขึ้น ในสายตานักเศรษฐศาสตร์ มหภาค มีพื้นฐานความเชื่อว่านักธุรกิจสามารถปรับตัวได้ดีในสถานการณ์ต่างๆ ทั้งมีความคิดยืดหยุ่นกับเห็นใจนักธุรกิจมากขึ้น “ทฤษฎีสมัยใหม่ บอกว่าคนที่ให้กับสังคม คือคนที่สร้างเนื้อสร้างตัว คนที่เอาจากสังคมคือคนบริโภค… ผมดูนายทุนไทยเมื่อเปรียบเทียบนายทุนฝรั่ง นายทุนไทยไม่ค่อยใช้เงินนัก มีเงินแล้วลงทุนต่อ เวลาเศรษฐกิจตกก็หมดตัว ที่จะมีเกาะสวาท หาดสวรรค์ มีเรือบินส่วนตัว มีเรือยอชต์แพงๆ ผมไม่เห็นมี มีบ้างแต่ไม่ถึงระดับเศรษฐีฝรั่ง  เพราะฉะนั้น เอาล่ะ! พออยู่กันได้” นี่คือความคิดของเขาที่พอจับได้

ดร.วีรพงษ์ รามางกูร มีชีวิตค่อนข้างเรียบง่าย ที่บ้านพักแถวสุทธิสาร บนที่ดินที่พ่อตายกให้เมื่อตอนแต่งงานกับภรรยาคนที่สอง ซึ่งเขาบอกว่าเป็นที่จัดสรรของหลวงสุทธิสารวินิจฉัย (บิดาของมารุต บุนนาค) ให้กับตำรวจเมื่อปี 2497  มีเนื้อที่ประมาณ 200 ตารางวา  ด้วยเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งที่เป็นแบบไทย โดยเฉพาะ มีของเก่าเป็นของสะสมมากพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นเครื่องลายคราม และเหรียญต่างๆ

ปัจจุบันยังรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับนักข่าวอาวุโสอยู่อย่างเสมอต้นเสมอปลาย กลุ่มที่เคยมาที่บ้านเมื่อ 15 ปีที่แล้วก็ยังแวะเวียนมา แม้การตีกอล์ฟ เขายังชอบร่วมก๊วนกับนักข่าว

บทสรุปสำคัญของบุคคลผู้นี้ ย่อมมิได้อยู่ที่ความคิดในฐานะนักเศรษฐศาสตร์มหภาคเท่านั้น หากอยู่ที่ประสบการณ์ที่ยาวนานหลายด้าน  สามารถยืนอยู่ในสังคมไทยในยุคสมัยต่อเนื่องตลอดมา

นิตยสารผู้จัดการ( ตุลาคม 2544)

ผู้เขียน: viratts

writer and farmer

ใส่ความเห็น

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Twitter picture

You are commenting using your Twitter account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Connecting to %s

%d bloggers like this: