กว่าศตวรรษที่ผ่านมา มีเครือข่ายธุรกิจหนึ่งซึ่งเผชิญสถานการณ์สำคัญๆ จำต้องปรับตัวครั้งใหญ่หลายครั้ง หลายครา บ่อยครั้งโอกาสมาจากถึงอย่างไม่คาดคิด









- บริบทและการปรับตัว
- ทีมบริหาร กับสายสัมพันธ์
- ดีลAstraZeneca
- เรื่องเกี่ยวเนื่องก่อนหน้า
- –สยามไบโอไซเนนซ์
- -ทุนลดาวัลย์กับสยามไบโอไซแอนซ์
(1)บริบท และการปรับตัว
ใครจะว่าอย่างไรก็แล้วแต่ ขอตั้งสมมตฐานขึ้น ว่าด้วยเรื่องราวและบริบท สยามไปโอไซแอนซ์ (Siam Biosciences หรือ SBS) มีความเชื่อมโยงกับเอสซีจี อย่างแยกไม่ออก ความสัมพันธ์อันแนบแน่นจะมีความสำคัญมากขึ้นๆเป็นลำดับ
ขอขยายภาพให้ใหญ่ขึ้นในฐานะ “ชิ้นส่วน”ประวัติศาสตร์กิจการอันทรงอิทธิพลกับสังคมไทยกว่าศตวรรษจนถึงปัจจุบัน
ยุคก่อตั้งบริษัทปูนซิเมนต์ไทย(หรือ “เครือซิเมนต์ไทย” ในเวลาต่อมา และ “เอสซีจี” ปัจจุบัน) ท่ามกลางสถานการณ์สำคัญ—ภัยคุกคามยุคอาณานิคมต่อเนื่องกับวิกฤติการณ์จากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
จากกรณีสยามลงนามสัญญาเบาว์ริ่ง(2398) ระบบอาณานิคมเข้าครอบงำเศรษฐกิจทั่วทั้งภูมิภาคไม่เฉพาะราชอาณาจักรไทย อีกด้านหนึ่งระบบอาณานิยมสร้างโอกาสใหม่ๆด้วย กรณีสำคัญ โรงงานปูนซีเมนต์แห่งแรกในสยาม สามารถก่อตั้งขึ้น
จากจุดเปลี่ยนการพัฒนาระบบคมนาคม ขนส่ง และสื่อสาร โดยเฉพาะการขุดคลองสุเอซ (2412) สัมพันธ์กับการพัฒนาเรือกลไฟ (Steamboats) อาณานิคมจึงมีเส้นทางเดินเรือเข้าสู่โลกตะวันออก เพื่อสร้างอิทธิพลเหนือฝั่งตะวันออก เรือกลไฟไม่เพียงนำมาซึ่งอำนาจอาณานิคม หากเป็นระบบพื้นฐาน ก่อให้เกิดอุตสาหกรรมครั้งแรกในสยาม รวมทั้งผู้คนซึ่งมีความรู้สมัยใหม่ มีประสบการณ์ที่หาไม่ได้ในสยาม หลายคนเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจในภูมิภาค บางคนเป็นบุคคลสำคัญในการบุกเบิกธุรกิจใหม่ๆในราชอาณาจักรไทย โดยเฉพาะมีส่วนร่วมในก่อตั้งบริษัทปูนซิเมนต์ไทยด้วย
การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475
ช่วงปี 2475-2488 ปูนซิเมนต์ไทย เผชิญวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ที่สุดก็ว่าได้ ช่วงเวลาแห่งความผันแปรรอบด้าน ทั้งกินเวลายาวนานถึง 2 ทศวรรษ
การเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 มาถึง ตามมาด้วยการเปลี่ยนแปลงกลไกสำคัญการบริหารเศรษฐกิจประเทศ เมื่อกรมพระคลังข้างที่ เปลี่ยนเป็นสำนักงานพระคลังข้างที่(2476) ภายใต้การกำกับของนายกรัฐมนตรีในระบอบการปกครองใหม่ จากนั้นมีการจัดตั้งสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ขึ้นแทนกรมพระคลังข้างที่(2480) โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธานกรรมการ
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ มาถึงบริษัทปูนซิเมนต์ไทย เกิดขึ้นในช่วงปรีดี พนมยงศ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง(2481-2484)
ช่วงเวลาเพียง 5 ปี ก่อให้การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ สู่อีกยุค กิจการเคยครอบงำและบริหารโดยชาวเดนมาร์ก ไปสู่ยุคใหม่ ทั้งบริบทและบทบาทเชื่อมโยง พัฒนาการทางสังคมมากขึ้น พร้อม ๆกัน คนไทยเข้าไปมีส่วนในการบริหารจัดการปูนซิเมนต์ไทยมากขึ้นตามลำดับ
เริ่มต้นเข้าสู่ธุรกิจแตกแขนงมาจากปูนซีเมนต์ เรียกว่า “ทำการค้าวัตถุสำเร็จรูปที่ทำจากปูนซีเมนต์หรือคอนกรีต” ไม่ว่า การผลิตสินค้าที่เรียกว่า Asbestos Cement เริ่มต้นจากกระเบื้องหลังคา(2481) และในปี 2495 เริ่มต้นผลิตสินค้าคอนกรีตอัดแรง (Reinforced concrete) ที่สำคัญมีบทบาทในการเริ่มต้นอุตสาหกรรมอุดมคติของผู้นำยุคนั้น ด้วยความร่วมมือกับรัฐบาลอย่างเต็มกำลัง –นั่นคือการบุกเบิกอุตสาหกรรมเหล็ก ขณะด้วยความร่วมมือกับรัฐ ผลพวงสงครามโลกครั้งที่สองจึงไม่ส่งผลรุนแรงถึงขั้นต้องปรับตัวและการปรับโครงสร้างใหญ่
ยุคสงครามเวียดนาม
หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 ไม่นาน สังคมไทยได้เข้าสู่ช่วงความขัดแย้งทางการเมืองเป็นเวลานาน(Power struggles) ได้สร้างความเฉื่อยเนื่องต่อการพัฒนาสังคมไทย สุดท้ายคลี่คลายไป เมื่ออิทธิพลเหนือกว่าเข้ามาครอบงำ นั่นคือการมาของสหรัฐอเมริกา จากเข้าร่วมสงครามเกาหลี สู่สงครามเวียดนาม
ปูนซิเมนต์ไทยปรับตัวสอดคล้องกับจังหวะเวลา จากพึ่งพิงเครือข่ายระบบอาณานิคมในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ไปสู่ความสัมพันธ์ใหม่กับสหรัฐฯ ตั้งแต่ช่วงต้นๆสงครามเวียดนาม
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กับการสิ้นสุดระบบอาณานิคม อิทธิพลทางเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาเริ่มต้นขึ้น มีส่วนกระตุ้นเศรษฐกิจในภูมิภาคให้ขยายตัว จากการลงทุนสร้างระบบสาธารณูปโภค ธุรกิจอเมริกันขยายการลงทุนขนานใหญ่ เข้ามาในภูมิภาค และไทย
โดยเฉพาะดีลกู้เงินดอลลาร์สหรัฐครั้งแรก เป็นเหตุการณ์สำคัญสำหรับบริษัทปูนซิเมนต์ไทย ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อตามแผนการขยายตัวทางธุรกิจ จุดตั้งต้นการปรับโครงสร้างธุรกิจให้ทันสมัยตามแบบฉบับตะวันตก การสร้างทีมงานบริหารมืออาชีพอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเป็นโมเดลใหม่สังคมธุรกิจไทย เป็นพลังเป็นโมเมนตัม ให้การขยายตัวทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
สงครามเวียดนามได้จบลง อิทธิพลสหรัฐฯยังคงอยู่ โดยเฉพาะในทางเศรษฐกิจ ขณะประเทศไทยมีพลังดึงดูดมากขึ้น ด้วยขบวนเครือข่ายธุรกิจญี่ปุ่นได้เข้ามา ความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างปูนซิเมนต์ไทย (ขณะนั้น เรียกว่าเครือซิเมนต์ไทย แล้ว)กับเครือข่ายธุรกิจญี่ปุ่นเป็นอีกฉากตอนสำคัญในยุคหลังสงครามเวียดนาม
โดยเฉพาะการเข้าสู่ธุรกิจใหม่ เริ่มต้นขยายตัวทางภูมิศาสตร์สู่ภูมิภาค ทั้งต่อเนื่องจากธุรกิจดั้งเดิม ไปจนถึงธุรกิจใหม่ซึ่งไม่มีประสบการณ์มาก่อน
-จากการลงทุนในธุรกิจผลิตถุงบรรจุซีเมนต์ เข้าสู่ธุรกิจเยื่อและกระดาษ จากความพยายามเข้ากอบกู้กิจการที่มีปัญหา จนกลายเป็นธุรกิจบรรจุภัณฑ์รายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งในภูมิภาค
-จากความพยายามขยายจินตนาการอุตสาหกรรมเหล็ก สู่อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยนต์ ในจังหวะรัฐให้การสนับสนุน แต่ในที่สุดไม่เป็นไปอย่างที่คิด
– การเข้าสู่ธุรกิจใหม่ กลายเป็นตำนานแห่งความสำเร็จ จากจุดเริ่มต้นการสำรวจปิโตรเลียมในทะเลครั้งแรกในประเทศไทยยุคสงครามเวียดนาม( 2511) โดยบริษัทอเมริกัน (Chevron ขณะนี้ หรือ Unocal ในขณะนั้น) ใช้เวลา 5 ปีจึงได้ค้นพบก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย ถึงเป็นยุค “โชติช่วงชัชวาล”
เครือซิเมนต์ไทยเป็นรายใหม่ ไม่มีประสบการณ์หรือเกี่ยวข้องธุรกิจเคมีภัณฑ์มาก่อน ได้เข้าร่วมลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานอุตสาหกรรมพื้นฐานใหม่ของประเทศ ค่อยๆขยายกิจการและวงจรธุรกิจครอบคลุม จนกลายเป็นเครือข่ายธุรกิจเคมีภัณฑ์รายใหญ่ สำหรับเอสซีจี ธุรกิจเคมีภัณฑ์ มีบทบาทสำคัญที่สุดในเวลานี้
วิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจปี 2540
วิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจครั้งร้ายแรงเหตุการณ์สำคัญเผชิญหน้าเครือซิเมนต์ไทยด้วย
2 กรกฎาคม 2540 รัฐบาลประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ค่าเงินบาทอ่อนตัวอย่างทันทีทันใด เคยอยู่ในช่วงต่ำสุด 55 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ เครือซิเมนต์ไทยได้รับผลกระทบรุนแรง หนี้สินเพิ่มขึ้นถึง 2 แสนล้านบาท และประสบการผลขาดทุนครั้งใหญ่มากกว่า 2 หมื่นล้านบาท(งบการเงินปี2540) ไม่จ่ายเงินปันผลต่อผู้ถือหุ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้
ในที่สุด เครือซิเมนต์ไทยได้เดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญอีกครั้งในความพยายามคงธุรกิจหลักๆไว้ ไม่ว่า ซีเมนต์ วัสดุก่อสร้าง บรรจุภัณฑ์ และโดยเฉพาะเคมีภัณฑ์ ขณะตัดสินใจครั้งใหญ่ลดขนาดธุรกิจอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยเฉพาะลดบทบาท(ทั้งปิดและขายกิจการ)ธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ ส่วนใหญ่เป็นกิจการร่วมทุนและอาศัยเทคโนโลยีและแบรนด์ญี่ปุ่น
การกอบกู้กิจการเป็นไปได้ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อมิติหนึ่งซึ่งสำคัญ ช่วงเปลี่ยนผ่านผู้บริหารจากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง ที่น่าสนใจ ผู้บริหารรุ่นก่อนทยอยกันเกษียณ คือกลุ่มผู้บริหารที่มีความรู้และประสบการณ์อย่างโชกโชน 2ทศวรรษก่อนหน้า พวกเขายังมีพลังมากมาย ไม่เพียงให้ช่วงเปลี่ยนผ่านการบริหารเอสซีจี(ชื่อที่เปลี่ยนใหม่ยุคผู้บริหารใหม่) เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ถือได้ว่าเป็นทีมอดีตผู้บริหารชุดเดียวในประวัติศาสตร์เอสซีจี อยู่ในตำแหน่งสำคัญดูแลยุทธศาสตร์ธุรกิจต่อไป เป็นมาแล้วกว่าทศวรรษ
ยุทธศาสตร์ใหม่ๆ กรณีหนึ่งซึ่งแตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง คงเป็นการก่อตั้งสยามไปโอไซแอนซ์