ซีพีตั้งโรงงานอาหารสัตว์ที่โปรตุเกสและตุรกีตั้งแต่ปี 2528 ด้วยเป้าหมายในความพยายามเข้าสู่ตลาดยุโรปที่มีกำลังซื้อ กำลังขยายใหญ่ เมื่อตลาดร่วมยุโรปกำลังเกิดขึ้น จนถึงวันนี้เป้าหมายสำคัญนั้นยังไม่บรรลุ
กิจการอาหารสัตว์ เป็นวงจรสำคัญในระบบธุรกิจครบวงจรของซีพี จึงเริ่มต้นก่อนอื่น แต่ในที่สุดการลงทุนทั้งโปรตุเกสและสเปนก็ไม่รอด เหลือเพียงตุรกีเท่านั้นที่ยังอยู่และขยายกิจการออกไปอย่างดี แต่อย่างไรก็ตามตุรกียังไม้ได้เข้าเป็นสมาชิกตลาดร่วมยุโรป
มีการสรุปบทเรียนกันว่า ระบบธุรกิจครบวงจรของซีพีนั้นไม่เหมาะกับประเทศมีการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ การค้าและการตลาด ในขั้นดี อย่างประเทศโปรตุเกส(อ้างจาก CP Group: From Seeds to ‘Kitchen of the World’” INSEAD EURO-ASIA CENTER 2002)
แต่สำหรับประเทศอิสลามอย่างตุรกี กลับตรงข้าม ปีที่แล้วกิจการในตุรกีประสบความผลสำเร็จอย่างดี มียอดขายกว่าหนึ่งหมื่นล้านบาท กำไรประมาณพันล้านบาท
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร( CPF) ในฐานะแกนของกลุ่มอาหารของซีพี แสดงผลกไรมากกว่าหนึ่งหมืนล้านบาท สูงขึ้นกว่าเดิมมาก โดยมีการอธิบายไว้ด้วยว่า มาจากผลประกอบในตุรกีด้วย
TileCera ก่อตั้งปี2533 เป็นกิจการร่วมทุนระหว่างเอสซีจีและบริษัท Stilgress ผู้ผลิตกระเบื้องเซรามิกอิตาลี ด้วยสัดส่วนถือหุ้น 80/20 เข้าไปลงทุนธุรกิจกระเบื้องเซรามิกในสหรัฐอเมริกา ทั้งเรื่องการผลิต เเละจัดจำหน่าย เนื่องจากเล็งเห็นว่าประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดขนาดใหญ่อันดับ 5 ของโลก
ปีเดียวกันนั้นก็ส่ง ผู้บริหารคนไทยคนแรกไปดูแลกิจการในต่างประเทศ เริ่มตั้งแต่การก่อสร้างโรงงานซึ่งกินเวลานานถึง 2 ปี ระหว่างนั้นได้เรียนรู้ความเป็นจริงของตลาดที่ไม่เป็นไปตามแผนการเดิม จึงมีการปรับเปลี่ยนกลางคัน จากจะผลิตสินค้าในลักษณะที่เป็น Mass ซึ่งเป็นสินค้าสินค้านำเข้าราคาถูก ไปผลิตสินค้าที่มีตลาดเฉพาะราคาสูงแทน จึงต้องเผชิญอุปสรรคในเรื่องของความพร้อมของกำลังคน และเทคโนโลยี
ความพยายามหา Partner เป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากบริษัทอิตาลี ถือว่ามีเทคโนโลยีการผลิตสินค้าตลาดบน ถือว่าการลงทุนผลิตในสหรัฐฯ แข่งขันกับกระเบื้องนำเข้าจากอิตาลี อย่างไรก็ตามก็ได้ บริษัท Fin floor ประเทศอิตาลีมาร่วมทุน ในฐานะผู้ชำนาญการด้านเทคโนโลยีการผลิตและการพัฒนาบุคลากร และได้รับสิทธิการเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของกลุ่ม Fin floor แต่ผู้เดียว
TileCera มีปัญหาเรื่องการผลิตมาโดยตลอด หลังจากวิกฤตทางการเงินในปี 2540 สถาบันทางการเงินที่ปล่อยเงินกู้ได้ตัดสินใจเรียกคืนเงินกู้ทั้งหมด TileCera ต้องประสบปัญหาอย่างหนัก ขณะนั้นเอสซีจีเองก็มีปัญหา จึงตัดสินใจขายกิจการ
กิจการประสบปัญหาขาดทุนต่อเนื่องมาอีก ต้องใช้เวลาปีกว่าๆ สุดท้ายก็ได้ขายกิจการให้กับFlorim (สหรัฐอเมริกา) บริษัทในเครือ Florim Italy ซึ่งเป็นผู้ผลิตกระเบื้องเซรามิกชั้นนำในอิตาลี ในปี 2543
บทเรียนสำคัญในกรณีนี้ ก็คือ แนวการบริหารงานกิจการต่างประเทศ จะต้องเป็นไปทางเดียวกับทั้งกับยุทธ์ศาสตร์และการบริหารของเอสซีจี โดยเฉพาะต้องผลิตสินค้าสำหรับตลาดในระดับเดียวกับตลาดในเมืองไทย