สามทศวรรษมานี้ เขาเป็นนักเศรษฐศาสตร์คนเดียวของไทยก็ว่าได้ ที่ทำงานอย่างต่อเนื่องมากที่สุด
แม้ว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมา สังคมไทยจะมีความผันแปรมากเพียงใด และดูเหมือนเขามีความพยายามเสนอความคิดในการก้าวพ้นความคลุมเครือและสับสนของสังคมไทยในขณะนี้
“เขาอาจจะได้ชื่อว่าเป็น “เทคโนแครต” คนสุดท้ายที่มีภูมิหลังและเส้นทางชีวิตและการทำงานด้านนโยบายรัฐ มีความต่อเนื่องภายใต้ระบบการเมืองไทย จากยุคกึ่งเปิดกึ่งปิดไปสู่ระบบเปิด “ บทสรุปสำคัญ จากงานเขียนเก่าของผมเอง( “วีรพงษ์ รามางกูร มากกว่าความเป็นนักเศรษฐศาสตร์” นิตยสารผู้จัดการ ตุลาคม 2544 ) ถือเป็นฐานข้อมูลและแนวความคิดของบทความชื้นนี้ อาจจะถือว่า เป็นตอนต่อก็ได้
ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ นับเนื่องจากช่วงชีวิตเป็นนักเรียนนอกที่สหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 5 ปีครึ่ง ถือเป็นบันไดขั้นสำคัญมาก ในการไต่จากสังคมฐานราก ไปสู่สังคมระดับบน
ในช่วงนั้นประเทศไทย เริ่มต้นแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯฉบับแรกในช่วงรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ผลักดันและสนับสนุน ซึ่งรวมถึงให้ทุนการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์ “เป็นยุคเศรษฐศาสตร์เฟื่องฟู รุ่นผมมี ดร.โอฬาร ไชยประวัติ, วิจิตร สุพินิจ, ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม, ประทีป สนธิสุวรรณ รวมทั้ง ณรงค์ชัย อัครเศรณี และสาธิต อุทัยศรี กลับมาไล่เลี่ยกัน” ดร.วีรพงษ์ซึ่งได้ทุนร็อกกี้เฟลเลอร์ (ทุนการศึกษาจากสหรัฐฯสำหรับประเทศด้อยพัฒนา) เคยกล่าวถึง นักเศรษฐศาสตร์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักเรียนทุน โดยเฉพาะนักเรียนทุนของธนาคารแห่งประเทศไทย กลุ่มคนเหล่านี้ต่อมามีบทบาทในภาครัฐ ในฐานะผู้กำกับ ดูแลนโยบายทางเศรษฐกิจการเงิน ในเวลาเดียวกับที่ดร.วีรพงษ์มีบทบาทในฐานะที่ปรึกษาคนสำคัญของรัฐ
อีกด้านหนึ่ง เขามีความสัมพันธ์กับนักเรียนสหรัฐอีกกลุ่มหนึ่ง เข้ามีบทบาทในภาคธุรกิจที่กำลังขยายตัว โดยเฉพาะนักเรียนวิชาการบริหารธุรกิจ อาทิ มรว. ปิริดิยาธร เทวกุล (ผู้บริหารธนาคารกสิกรไทย 2514-2533) และ ศิวะพร ทรรทรานนท์ (ผู้บริหารบริษัทเงินทุนทิสโก้ 2513-2536) ซึ่งถือเป็นรุ่นน้อง เรียนทีเดียวกัน ในขณะที่ ดร.วีรพงษ์ เรียนเศรษฐศาสตร์ ทั้งสองเรียนเรียนเอ็มบีเอ ซึ่งถือว่าเป็นวิชาการที่ได้รับความนิยมอย่างมากมายในยุคโลกาภิวัฒน์ไม่นานจากนั้น
ทั้งสองคือ ตัวแทนกลุ่มคนหนึ่งกลับมาเมืองไทย ในระยะเดียวกัน มีบทบาทในธุรกิจการเงินของไทย ซึ่งขยายตัวอย่างมากในช่วงหลังสงครามเวียดนาม พวกเขาคือกลุ่มมืออาชีพรุ่นใหม่ ทีมีอิทธิพลในสังคมธุรกิจไทยต่อเนื่อง สายสัมพันธ์นี้เชื่อมต่อกับกลุ่มผู้บริหารในภาคธุรกิจที่ทรงอิทธิพลกลุ่มใหญ่ ในเวลาต่อมา เมื่อดร.วีรพงษ์เอง เข้ามามีบทบาทในภาคธุรกิจจึงดำเนินไปได้อย่างดี
จุดเริ่มต้นของเขา อยู่ในกลุ่มนักวิชาการที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดในช่วงสังคมอเมริกันกำลังมีความขัดแย้ง ทางความคิดกันมาก จากกรณีสงครามเวียดนาม ความคิดที่เอนเอียงไปทางต่อต้านสงคราม ครั้นกลับมาประเทศไทยในภาวะสังคมที่ปิดกั้น นักวิชาการจึงรวมกลุ่มพุดคุย ถกเถียงปัญหาสังคมกันมาก รวมทั้งมีส่วนสนับสนุนขบวน การนักศึกษาในการเรียกร้องประชาธิปไตยในยุคนั้นด้วย
ดร.วีรพงษ์ รามางกูร เป็นอาจารย์เศรษฐมิติคนแรกๆ ของไทยในปี2513 หลังจากจบปริญญาโท-เอก ทางเศรษฐศาสตร์ University of Pennsylvania, U.S.A. เขาเดินสายสอนหนังสือหลายมหาวิทยาลัย เป็นที่รู้จักกันมาก จนเป็นคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ ด้วยวัยยังไม่ถึง 40 ปี (2524-2526) จากนั้นเขามีโอกาสเข้าร่วมอยู่ในงานที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจด้านนโยบายของรัฐบาล (2523-2531) ถือเป็นช่วงประสบการณ์ที่สำคัญของชีวิต จะว่าไปแล้วอาจจะกล่าวได้ว่า เป็นฐานสำคัญของโอกาสมากมายต่อจากนั้น
ว่าไปแล้ว เขาอยู่ในกระบวนการพัฒนาเศรษฐกิจไทยในยุคที่มีบุคลิกสำคัญของสังคมไทย อยู่ในช่วงระบบการเมืองแบบกึ่งเปิดกึ่งปิด โดยเฉพาะในยุคพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ขณะเดียวกันในทางเศรษฐกิจ อยู่ภายใต้กลไกการสะสมความมั่งคั่งของกลุ่มธุรกิจกลุ่มเดิมที่เกิดขึ้นหลังสงครามโลก และเติบโตอย่างมากในยุคสงครามเวียดนาม ภายใต้กลไกของระบบธนาคารครอบครัว ซึ่งถือว่ามีพื้นที่จำกัด สงวนไว้สำหรับบางกลุ่ม ขณะเดียวก็มีกระบวนคัดเลือกที่เข้มงวดสำหรับผู้มาใหม่ มีปรากฏการณ์สำคัญให้เห็นเป็นระยะๆในช่วงวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ
เรื่องราวบทบาทสำคัญของดร.วีรพงษ์ รามางกูร ในฐานะที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจที่มีบทบาทต่อเนื่อง และได้รับความไว้วางใจอย่างมาก เป็นที่เล่าขาน โดยเฉพาะบทบาทในการตัดสินใจลดค่าเงินในช่วงปี 2527 อันพิสูจน์ว่าเป็นการตัดสินใจที่สำคัญในการแก้ปัญหา เศรษฐกิจในระยะเวลาต่อมา ซึ่งตัวเขาเองก็ภูมิใจในบทบาทนี้อย่างมาก
ในยุคหลังพลเอกเปรม ถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสังคมไทย เช่นเดียวกับบทบาทที่ดูสับสนพอควรแต่อย่างไรภาพของความเป็นนักเศรษฐศาสตร์ เขาสามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ และมีมุมมองที่น่าสนใจ ต่อการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ เป็นบุคลิกเฉพาะของเขาอย่างเด่นชัดมากขึ้น ภาพที่เขาเคยสังกัดยุคพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ค่อยๆกลายเป็นภาพเฉพาะของตนเองขึ้นมา
เขาเป็นรัฐมนตรีคลังเมื่อปี 2533 ถือเป็นตำแหน่งรัฐมนตรีครั้งแรก ในยุคปลายรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ โดยเขาให้เหตุผลว่า “เพราะยังไม่เคยเป็น อยากจะเป็นผู้ปฏิบัติ” แต่เมื่อทหารรัฐประหารโค่นรัฐบาลก่อน เขาก็ยังมีบาทบาทต่อไปในฐานะเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจและการคลัง สภารักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (2534-2535) แล้วยอมลดตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (2535)
และอีกครั้งกับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจเมื่อ 15 สิงหาคม 2540 ที่ว่ากันว่า ทำหน้าที่ประสาน งานกับไอเอ็มเอฟ ซึ่งอยู่ในตำแหน่งไม่ถึง 3 เดือนก็พ้นตำแหน่ง เมื่อพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ลาออกจากนายกรัฐมนตรี แล้วพรรคประชาธิปัตย์ เข้าเป็นแกนนำของรัฐบาลชุดใหม่
บททดสอบครั้งสำคัญ คงไม่พ้นกรณีธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ (บีบีซี) ซึ่งเขาได้รับการเชื้อเชิญให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาบีบีซี “ผมถือว่าเป็นช่วงเปลืองตัวมาก ที่สุดในชีวิต เกือบไป” แม้เขายอมรับว่าด้วยความสัมพันธ์กับสื่อมวลชนมายาวนาน มีส่วนทำให้เขารอดพ้นเหตุการณ์ครั้งนั้นมาได้ ขณะที่ผมเชื่อว่าปรากฏการณ์ที่บีบีซี เป็นภาพสะท้อนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเชิงความสัมพันธ์ของโครงสร้างเศรษฐกิจไทย และก็เชื่อว่าดร.วีรพงษ์ รามางกูรเข้าใจปรากฏการณ์นั้นอย่างลึกซึ้ง
จากนั้นมา ดร.วีรพงษ์ รามางกูร ได้ปรับแผนชีวิตพอสมควร โดยวางบทบาททั้งระดับกว้างและลึกอย่างรอบคอบและ สมดุล
เขาเริ่มต้นเป็นกรรมการหรือที่ปรึกษาทางธุรกิจหลายบริษัท เขาเคยบอกว่า ไม่เคยคิดมาก่อนว่ารายได้จากการทำงานเอกชนจะมีมากมายเพียงนี้ จากประสบการณ์ใหม่ เขาจึงมีความเข้าใจธุรกิจในมิติที่กว้างมากขึ้น ในสายตานักเศรษฐศาสตร์มหภาค โดยมีพื้นฐานความเชื่อว่านักธุรกิจสามารถปรับตัวได้ดีในสถานการณ์ต่างๆ ทั้งมี ความคิดยืดหยุ่นกับเห็นใจนักธุรกิจไทย ขณะเดียวกันสายสัมพันธ์และประสบการณ์อันเชี่ยวกรำของเขาคงจะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจไม่น้อย
อีกด้านก็ยังคงความสัมพันธ์กับการเมืองไว้ระดับหนึ่ง ทำนองเดียวกับบทบาทที่ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูงในช่วงรัฐบาลเปรม ติณสูลานนท์ เขาเป็นที่ปรึกษาของทีมเศรษฐกิจรัฐบาล พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ( 2544-2549) และประธานที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช (มกราคม-กันยายน 2551) ซึ่งว่าไปแล้วเป็นคนละขั้วทางการเมืองกับความสัมพันธ์เดิมของเขา
ที่น่าสนใจมากในเวลาเดียวกันนั้น เขาเป็นคอลัมนิสต์ โดยเริ่มงานเขียน “คนเดินตรอก”ในหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจมาตั้งแต่ปี 2543 แม้จะหยุดบ้าง แต่โดยทั่วไปถือเป็นงานที่ทำอย่างต่อเนื่อง แทบจะทันที่ดร.วีรพงษ์ รามางกูร กลายเป็นคอลัมนิสต์ที่ทรงอิทธิพล ข้อเขียนจากความคิดและประสบการณ์ของเขาได้รับความสนใจอย่างมากโดยเฉพาะกลุ่มอิทธิพลในสังคมไทย
เขาแสดงบทบาทสำคัญในฐานะนักเศรษฐศาสตร์อย่างต่อเนื่อง จากที่ปรึกษาให้คำแนะนำ ว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจของรัฐ มาสู่งานการบริหารนโยบายเศรษฐกิจ แม้ว่าในฐานะหลังจะมิได้ต่อเนื่องและประสบความสำเร็จเท่าที่ควร จากนั้นจึงก้าวเข้าสู่บทบาทสำคัญอีกระดับหนึ่ง ด้วยการเสนอความคิด มุมมอง ทางด้านเศรษฐกิจต่อกลุ่มค่างๆ โดยเฉพาะสาธารณะชน ซึ่งถือเป็นบทบาทต่อสังคมวงกว้าง เป็นการเสนอความคิดอย่างมีเหตุผล ตรงไปตรงมา และกล้าเผชิญแรงเสียดทาน
ความผันแปรครั้งใหญ่ของสังคมไทยในห้วงเวลานี้ ไปไกลกว่าที่คิด นักเศรษฐศาสตร์ไทยหลายคนจึงถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
แต่ดร.วีรพงษ์ รามางกูร ยังอยู่