“หากถามผมว่า ผู้นำนักธุรกิจคนใด แสดงบทบาทเชิงตัวแทน การปรับตัวของธุรกิจไทย ในช่วง3-4ทศวรรษสำคัญที่ผ่านมาได้อย่างน่าทึ่ง ก็คงยกให้ ธนินท์ เจียรวนนท์” (จากเรื่อง “ธนินท์ เจียรวนนท์ ” ) ขณะเดียวกัน หากมีคนถามว่า “มืออาชีพ”หรือลูกจ้างคนใด แสดงบทบาทเช่นนั้น ในช่วงใกล้เคียงกัน ผมก็คงตอบได้ทันทีว่า ชุมพล ณ ลำเลียง
————————————————————————————————————————————————
หมายเหตุ
หลังจากบทความชุดนี้ตีพิมพ์ขึ้นในช่วงชุมพล ณ ลำเลียง ฉลองครบรอบวันเกิดอย่างเงียบๆ และหลังจากนั้นไม่กีวัน SingTel ก็ปะกาศการลาออกจากประธานของเขา–SingTel Group’s Chairman Chumpol NaLamlieng to Step Down
————————————————————————————————————————————————-
ข้อเขียนหลายชิ้นที่ผ่านมาได้พาดถึงเขามาบ้าง แต่ไม่ให้ภาพต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงต่อเนื่องหลังจากบทบาทการบริหารที่เครือซิเมนต์ไทย(เอสซีจี) จึงถือโอกาสนี้ร่ายยาวเรื่องราวของเขา ในฐานะภาพสะท้อนความเปลี่ยนแปลงอย่างมีพลวัตรของสังคมธุรกิจไทยช่วง 3-4 ทศวรรษที่ผ่านมา อาจจะนับว่าเป็นความพยายามครั้งใหม่ของผม ในฐานะผู้เขียนเรื่องราวของคนๆนี้หลายครั้ง สู่ประเด็นที่กว้างขวางขึ้น พยายามเชื่อมโยงกับบริบททางสังคมมากขึ้น ในฐานะชุมพล ณ ลำเลียง มีโอกาสทำงานต่อเนื่องยาวนานที่สุดคนหนึ่ง จากยุคสงครามเวียดนาม ผ่านวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ และกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคใหม่ ซึ่งไม่มีภาพแน่ชัด โดยพยายามจะตอบคำถามว่า คนอย่างชุมพล ณ ลำเลียง สามารถเข้าใจการเปลี่ยนแปลงสังคมธุรกิจไทยในปัจจุบันและที่กำลังมาถึง โดยแสดงบทบาทต่อไปอย่างไรหรือไม่
ชุมพล ณ ลำเลียง ใช้เวลา 33 ปีทำงานในบทบาทสำคัญรวมทั้งผู้จัดการใหญ่เครือซิเมนต์ไทยหรือเอสซีจี (2526-2548) ก่อนจะก้าวลงจากตำแหน่ง แต่ยังเป็นกรรมต่อเนื่องจนทุกวันนี้ ไม่เพียงเท่านั้นเขาเป็นเพียงหนึ่งในสองเท่านั้น เป็นกรรมการทั้งธนาคารไทยพาณิชย์และเอสซีจี (อีกคนคือ ดร. จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา) กิจการหลักของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ขณะเดียวกันเป็นกรรมการในบริษัทระดับโลกอย่างSingTel แสดงภาพความขัดแย้งของสังคมไทยอย่างมาก แต่นั้นไม่สำคัญเท่ากับเป็นที่รู้กันว่า นับวันเขามีบทบาทที่กว้างขวางขึ้น
เครือซิเมนต์ไทยหรือเอสซีจี คือองค์กรธุรกิจเก่าแก่ที่อยู่ยงคงกะพัน จะเข้าสู่องค์กรศตวรรษอีก 2 ปีข้างหน้า ในฐานะเป็นอุตสาหกรรมแห่งแรกของประเทศในยุคอาณานิคม ด้วยการผลิตปูนซิเมนต์เพื่อสร้างความมั่นคงในการสร้างสิ่งก่อสร้างใหม่ๆในยุค Westernization of Siam เป็นสัญลักษณ์และตัวแทนของโครงสร้าง สถาบันและอำนาจทางสังคมต่อเนื่องมาด้วย ในยุคต้นอุตสาหกรรมแรกในประเทศ บริหารโดยชาวต่างชาติ กรณีนี้เป็นชาวเดนมาร์ก ถือว่าชาติที่อยู่ตรงกลางระหว่างอาณานิคมใหญ่ๆในยุคนั้น เอสซีจีบริหารโดยชาวเดนมาร์กมายาวาน ถึง60 ปี ก่อนจะเข้าสู่ยุคคนไทย ประวัติศาสตร์ช่วงนั้นให้ความภาพ การประนีประนอมและการต่อสู้ของรัฐไทยกับระบบอาณานิคมได้อย่างดี
ชุมพล ณ ลำเลียง มาจากครอบครัวธรรมดาในสังคมไทย บิดาของเขาเคยทำงานในบริษัทฝรั่งในประเทศไทย ต่อมามีกิจการเล็กๆ แต่เขามีโอกาสในการเล่าเรียนอย่างดี ในฐานะผลผลิตจากสหรัฐฯ เขากลับมาเมืองไทยในยุคสงครามเวียดนาม ในช่วงอิทธิพลสหรัฐฯกำลังแผ่ทั่วภูมิภาคนี้ พร้อมๆกับบทบาทนักเรียนอเมริกันที่เข้ามาสู่วงการธุรกิจไทยอย่างคึกคัก
ประเทศไทยได้รับอิทธิพลโดยตรงจากปรากฏการณ์ครั้งสำคัญนี้ เกิดการพัฒนาอย่างมากในด้านสาธารณูปโภค ระหว่างเมืองกับหัวเมืองและชนบทบางพื้นที่ การเข้ามาของการลงทุนจากต่างประเทศ และการเติบโตของธุรกิจท้องถิ่น เปิดโอกาสเกิดกลุ่มธุรกิจใหม่ๆ ส่วนใหญ่เป็นการผลิตสินค้าทดแทนการนำเข้า เพื่อสนองพฤติกรรมการบริโภคของคนไทยที่เริ่มเปลี่ยนแปลงในวงกว้าง(Critical Mass) ใช้สินค้าเพื่อความสะดวกสบายแบบตะวันตกมากขึ้น กระแสการตื่นตัวรับสินค้าสมัยใหม่ กว้างขวางกลายเป็นการตลาดที่คุ้มต่อการลงทุน ดูเหมือนเป็นกระแสที่มาพร้อมกับการตื่นตัวทางการเมือง
กระแสการลงทุนจากตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐฯ เข้ามาลงทุนโดยตรงในเมืองไทย โดยมองว่าเป็นย่านความเจริญใหม่ทางเศรษฐกิจ กลุ่มที่เคยมาลงทุนก่อนสงครามโลกครั้งที่สองหวนกลับมา แล้วขยายการลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ผลิตสินค้าพื้นฐาน กลุ่มธุรกิจที่มาใหม่ลงทุนตั้งโรงงานครั้งแรกในเมืองไทย มีบุคลิกพิเศษ ส่วนใหญ่เป็นผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค ตั้งแต่ฟิล์มถ่ายรูป อาหารสำเร็จรูป และฟาสฟูดส์ ไปจนถึงกางเกงยีนส์ ขณะเดียวกันกลุ่มธุรกิจจากญี่ปุ่น เข้าร่วมทุนกับนักลงทุนไทย โดยเฉพาะชิ้นส่วนรถยนต์ สิ่งทอและสินค้าคอนซูเมอร์ กลุ่มธุรกิจไทยเหล่านี้ พยายามขยายตลาด เริ่มเชื่อมโยงกับชุมชนหัวเมืองมากขึ้นๆ
เบื้องหลังของปรากฏการณ์อันน่าตื่นเต้น มาจากแรงกระตุ้นของการช่วยเหลือทางการทหาร ทางเศรษฐกิจและแหล่งเงินกู้จากสหรัฐฯ เอสซีจีในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อการผ่องถ่ายอำนาจจากผู้บริหารชาวเดนมาร์กไปสู่คนไทยนั้น เป็นช่วงการปรับตัวสู่ระยะการขยายตัวครั้งใหญ่ด้วยเงินกู้จากสหรัฐฯ ตามมาด้วยการปรับโครงสร้างการบริหารครั้งสำคัญ
ชุมพล ณ ลำเลียง ในฐานะนักเรียน MBA Harvard Business School เข้ามาเมืองไทย ด้วยความร่วมมือกับสถาบันการเงินของสหรัฐฯ มีเป้าหมายขยายเครือข่ายในภูมิภาคนี้ ระยะหนึ่งจึงเข้ามาเอสซีจี บางคนบอกว่าแรงบันดาลใจของคนธรรมดาในสังคมไทย มักเป็นเช่นนี้เสมอ ในความพยามเข้าสู่ศูนย์กลางอำนาจของสังคมไทย ซึ่งมีพื้นที่และโอกาสจำกัดเสมอมา
เอสซีจีเวลานั้นถือเป็นองค์กรที่มีจัดการที่ทันสมัย เป็นแหล่งรวมนายช่างหรือวิศวกรชั้นดีของประเทศ ที่พยายามเข้ามาทำงานที่ที่มีรายได้สูงกว่าทั้งระบบราชการ รัฐวิสาหกิจหรือเอกชนในเวลานั้น นั่นคือภาพที่ชาวเดนมาร์กสร้างไว้เป็นสิ่งอ้างอิงของมืออาชีพจากยุโรปที่มีค่าจ้างแพงกว่าคนไทย ในขณะเดียวกัน เอสซีจีเป็นธุรกิจผูกขาดที่สามารถตั้งราคาสินค้าและกำหนดส่วนต่างได้เองอย่างแนบเนียน
น้อยคนนักจะรู้ว่าระยะนั้น ถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ กำแพงการผูกขาดเริ่มถูกบั่นทอนเมือรัฐเริ่มเปิดให้รายใหม่ตั้งโรงงานปูนซีเมนต์มาแข่งขันได้บ้าง ความต้องการปูนซีเมนต์เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงสงครามเวียดนาม เพิ่มแรงบีบคั้น กำแพงกีดกั้นนำเข้าปูนซีเมนต์จากต่างประเทศอาจจะพังทลายลงได้ในบางช่วงบางเวลา ในเวลานั้นเอสซีจีไม่มีเงินทุนของตนเองมากพอในการขยายกิจการ ผู้ถือหุ้นใหญ่(สำนักงานทรัพย์สินฯ)ไม่มีเงินเพียงพอจะเพิ่มทุนจำนวนมาก ในขณะเดียวกัน ระบบธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดใหญ่กำลังสาละวนกับการสร้างอาณาจักรของตนเอง ท่ามกลางการขยายตัวทางธุรกิจทั่วด่าน ส่วนธนาคารในเครือเดียวกัน– ธนาคารไทยพาณิชย์อยู่ในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อในการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ ด้วยความพยายามจะขยายเงินทุนให้มากขึ้นด้วย และขยายเครือข่ายธุรกิจให้มากขึ้น ทางเดียวที่เหลืออยู่ของเอสซีจี คือการใช้เงินจากต่างประเทศ ด้วยมีความสัมพันธ์กับระบบธนาคารต่างประเทศมาแต่ต้น ธนาคารต่างชาติจึงมีข้อมูลบเกี่ยวกับเอสซีจีมากพอ จึงเป็นกิจการแรกสามารถกู้เงินต่างประเทศได้จำนวนมาก
การกู้เงินจาก IFC มิใช่เพียงเงินก้อนใหญ่สำหรับการขยายงานเท่านั้น ยังเป็นบัตรผ่านสำคัญสู่การกู้เงินต่างประเทศจากสถาบันการเงินอื่นๆได้อีกอย่างต่อเนื่อง ในเวลานั้นการขยายการผลิตปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างอื่นๆเริ่มมีเครือข่ายกว้างขวางมากขึ้น โดยเฉพาะการสร้างกลุ่มโรงงานครั้งใหญ่ที่แก่งคอย เป็นแผนการสกัดกั้นคู่แข่งรายแรกที่น่าสนใจ(บริษัทปูนซีเมนต์นครหลวงเกิดขึ้นในปี 2512 โดยก่อสร้างโรงงานใหญ่ที่ แก่งกคอย สระบุรี) ความสำเร็จครั้งนั้นถือเป็นช่วงต่อยุทธ์ศาสตร์สำคัญในการสร้างความเป็นได้เปรียบในการแข่งขัน รักษาความเป็นผู้นำทางธุรกิจในระยะผ่านจาการผูกขาดสู่ยุคการแข่งขันอย่างจำกัด
ชุมพล ณ ลำเลียง รู้สถานการณ์นั้นดี ตั้งแต่ปี 2510ในฐานะลูกจ้างของ IFC( International Finance Corporation ) หน่วยงานสนับสนุนเงินกู้ของเอกชน ถือเป็นหน่วยงานสังกัดธนาคารโลก มีสำนักงานที่สหรัฐฯ เขามีส่วนร่วมในทีมศึกษาโครงการให้เงินกู้และลงทุนในบริษัทปูนซิเมนต์ไทย ชุมพล เคยเล่าว่าเขาเป็นบุคคลที่ไม่มีใครรู้จักในสังคมไทย ไม่มีส่วนได้เสียกับโครงการ จึงได้รับมอบหมายงานนี้ เป็นที่แน่ชัดว่าไม่เพียงเขาเข้าใจเรื่องราว ในระยะสำคัญของเอสซีจีได้อย่างดี เมื่อเขาตัดสินใจเดินทางกลับเมืองไทยใยปี2512 ร่วมงานกับBanker trust สถาบันการเงินสหรัฐฯ กำลังขยายเครือข่ายสู่ภูมิภาคนี้ ก่อตั้งบริษัทเงินทุนทิสโก้ในประเทศไทย ด้วยการระดมทีมนักเรียนสหรัฐฯที่จบการศึกษาด้านการเงินและการบริหารธุรกิจ เช่น บันเทิง ตันติวิท หรือ ศิวะพร ทรรทรานนท์ Banker trust ร่วมทุนกับธนาคารกสิกรไทย ถือเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์กับเครือข่ายธุรกิจทรงอิทธิพลในสังคมไทยอย่างจริงจังมากขึ้น ในฐานะผู้อยู่แวดวงทางการเงิน มี่ความชำนาญเงินกู้ของเอกชนด้วยที่เรียกว่า corporate finance เข้าย่อมรู้สถานการณ์ของแวดวงธุรกิจไทย รวมทั้งที่เอสซีจีได้อย่างดี
เมื่อเข้าร่วมงานกับเอสซีจีในปี2515 ถือเป็นช่วงสำคัญของปรับโครงสร้างใหม่เป็นเครือซิเมนต์ไทย ชุมพล ณ ลำเลียง ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายการเงินคนใหม่ มีบทบาทในการจัดระบบแผนกงานใหม่ด้วยการวมหน่วยงานบัญชี การเงินและคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน รวมทั้งวางระบบบัญชีใหม่ให้สอดคล้องกับระบบสากลที่เจ้าหนี้กำหนดเป็นเงื่อนไขไว้
การบริหารกู้เงินต่างประเทศ เริ่มต้นด้วยกู้เงินต่างประเทศเพื่อขยายกิจการ ขยายการลงทุนครั้งใหญ่ครั้งสำคัญมาตั้งแต่ในปี 2512 จาก IFC จนวน 18 ล้านเหรียญสหรัฐฯ(IFC เข้ามาถือหุ้นในเอสซีจีประมาณ 6% ) โดยมีภาระในการบริหารจัดการให้เป็นไปตามเงื่อนไข ไม่เพียงเท่านั้นเอสซีจียังต้องการเงินกู้ต่อเนื่อง ชุมพล เข้าใจบทบาทและหน้าที่อย่างดี เป็นไปตามภาวะตลาดการเงินในต่างประเทศที่เปิดกว้างขึ้น เอสซีจีมีความคล่องตัวมากขึ้น จากแหล่งในตลาดเงินกู้สหรัฐฯ มายุโรป และญี่ปุ่น ในที่สุดกลายเป็นยุทธ์สาสตร์สำคัญของเอสซีจี ขยายธุรกิจ สร้างความสามารถในการแข่งขัน และโอกาสใหม่ๆทางธุรกิจ ด้วยใช้เงินกู้ ขณะนั้นดอกเบี้ยเงินกู้ต่างประเทศถูกกว่าในประเทศไทย ยุทธ์ศาสตร์นี้ถือเป็นจุดแข็งในช่วงนั้น แต่กลายเป็นจุดอ่อนในเวลาต่อมา
ความเข้าใจสถานการณ์และสังคมธุรกิจไทยเวลานั้น เป็นเรื่องอ้างอิงสำคัญจากนี้ “สังคมธนาคาร”ก่อตั้งขึ้น หมายความว่า สังคมธุรกิจไทยขยายตัวด้วยโอกาสที่กว้างขวางขึ้นอย่างไม่ปรากฏมาก่อน แต่ทั้งนี้ทั้งนี้อยู่ภายใต้แรงขับเคลื่อนของระบบธนาคารไทย ระบบธนาคารครอบครัว กลายเป็นแกนกลางของสังคมธุรกิจไทย ผมเคยอรรถาธิบายเรื่องนี้ไว้ในหนังสือ The Fall of Thai Banking 2548 โดยแบ่งระยะสำคัญไว้สองช่วง
ช่วงที่หนึ่ง( 2505-2525 ) ระบบธนาคารครอบครัวสถาปนาขึ้นอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการนำเงินฝากจากสาธารณะชน เข่าไปลงทุนและสนับสนุนกิจการในเครือข่ายและพันธมิตรอย่างกว้างขวาง โดยแบ่งย่อยเป็น 3 ระยะ หนึ่ง-ลงทุนในกิจการที่สนับสนุนธุรกิจธนาคารโดยตรง เช่น ประกันภัย ประกันชีวิต และคลังสินค้า สอง-ลงทุนในกิจการเครือข่ายครอบครัว และพันธมิตรอย่างกว้างขวางตามสถานการณ์ในเวลานั้น เช่น ธนาคารกรุงเทพสนับสนุนการค้าส่งออก สิ่งทอ กับเครือข่ายชาวไทยเชื้อสายจีนและเครือข่ายชาวจีนโพ้นทะเล ส่วนธนาคารกสิกรไทย มีความสัมพันธ์กับนักลงทุนของตะวันตก โดยเฉพาะจากสหรัฐฯมากเป็นพิเศษ ก่อตั้งกิจการร่วมทุนในประเทศไทยจำนวนมาก สาม-เพื่อขยายโอกาสของระดมเงินทุนมากขึ้น ระบบธนาคารครอบครัวก่อตั้งกิจการการเงินชั้นรองขึ้นตามกระแสที่รัฐจำเป็นต้องเปิดกว้างในช่วงหนึ่ง เครือข่ายการเงินใหม่ได้เปรียบเครือข่ายการเงินอื่นที่ไม่มี่ธนาคารถือหุ้นโดยตรง ขณะเดียวสร้างฐานระบบธนาคารครอบครัวให้ขยายใหญ่ มากขึ้น
ในเวลานั้นผู้บริหารรุ่นใหม่หรือเรียกกว่า “มืออาชีพ”เริ่มปรากฏชัดในสังคมธุรกิจไทย อาจจะถือว่า เริ่มต้นมาจากคนไทยที่ทำงานอย่างเงียบๆและเก็บตัวกับบริษัทต่างชาติในประเทศไทย จากนั้นพวกเขาพาเหรดมาที่เอสซีจี เป็นภาพคึกโครม และน่าสนใจขึ้น แต่สถานการณ์นั้นเริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วพอสมควร คนรุ่นใหม่ผ่านศึกษาที่ดี โดยเฉพาะมีความรู้ด้านการบริหารธุรกิจสมัยใหม่ หรือการเงิน จากตะวันตกส่วนใหญ่มุ่งสู่แวดวงการเงินมากขึ้น นักเรียนสหรัฐฯ รุ่นชุมพล ไม่ว่า ธารินทร์ นิมามานเหมินทร์(จากธนาคารต่างชาติ เขามาบริหารธนาคารไทยพาณิชย์) ศิวะพร ทรรทรานนท์(ทิสโก้) เอกมกมล คีรีวัฒน์(ทำงานที่ธนาคารแห่งประทศไทย มีบทบาทกำกับสถาบันการเงินและธนาคาร) หรือ ปรีดิยาธร เทวกุล(ธนาคารกสิกรไทย) ล้วนอยู่แวดวงหรือเกี่ยวกับธุรกิจที่มีธนาคารเป็นศูนย์กลางทั้งสิ้น ดูเหมือนมีเพียง ชุมพล ณ ลำเลียงเท่านั้น เดินสวนกระแสนั้น จากสังคมธนาคารสู่ดินแดนใหม่
แม้ว่าบทบาทของพวกเขามีมากขึ้นอย่างมากในระยะที่สอง ในความพยายามอยู่รอดของระบบธนาคารครอบครัวไทย แต่คงไม่มีใครโลดโผน ตื้นเต้นและเร้าใจ เท่ากับชุมพล ณ ลำเลียง ทั้งที่ทำงานในองค์กรมิใช่ธนาคาร แต่มีบทบาทต่อสังคมธุรกิจไทยอย่างสำคัญและน่าทึ่ง