สังคมหัวเมืองและชนบท เป็นสังคมที่มีแรงดึงดูดและน่าอยู่มากขึ้นๆ มากกว่าช่วงใดๆในยุคสังคมไทยกำลังก้าวเดินตามระบบทุนนิยมอย่างเต็มกำลัง
ถือเป็นภาพใหญ่ทางเศรษฐกิจและสังคม อันเป็นผลมาจากการบุกรุก ครอบงำ และทำลายโครงสร้างธุรกิจท้องถิ่นดั่งเดิมในหัวเมืองของไทย โดยกลุ่มธุรกิจใหญ่ที่มีฐานในเมืองหลวง ตามแนวคิดจากข้อเขียนของผมที่ค่อยๆคลี่ภาพออกมาตั้งแต่เมื่อ 2-3 ทศวรรษที่แล้ว
ผ่านกระบวนการทำลาย
“ประวัติศาสตร์สังคมธุรกิจไทยบอกว่า ธุรกิจในต่างจังหวัดส่วนใหญ่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ ดูเหมือนเป็นอิสระนั้น แท้ที่จริงส่วนใหญ่เป็นเครือข่ายหนึ่งทางการค้าของธุรกิจจากส่วนกลาง ธุรกิจนายหน้า หรือตัวแทนจำหน่ายสินค้าหลัก ๆ ตามยุคสมัยของสังคม คือที่มาของกลุ่มธุรกิจใหญ่ในหัวเมืองเริ่มจาก เอเยนต์ขายปูนซีเมนต์ เอเยนต์ขายสุรา ในยุค 30 ปีที่ผ่านมา จนมาถึงตัวแทนขายสินค้าอุปโภคบริโภค และเอเยนต์รถยนต์
ในยุคใกล้ธุรกิจครอบครัวในหัวเมืองเหล่านั้น สะสมความมั่งคั่ง จนกลายเป็นกลุ่มธุรกิจอิทธิพลมากขึ้น ๆ ในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง บางกลุ่มก็สามารถพัฒนาตนเองเป็นธุรกิจระดับชาติได้ อาทิ กลุ่มบุญสูง และภัทรประสิทธิ์ แต่ก็กลายเป็นอดีตไปแล้ว” งานเขียนเมื่อปี 2540
อีกตอนหนึ่งที่น่าสนใจ ว่าด้วยเครือข่ายทีวี “วิวัฒนาการทีวีของไทย กับบทบาทเชื่อมกรุงเทพฯเข้ากับชุมชนในต่างจังหวัด ในช่วงเวลาเพียง 15 ปีเท่านั้น โดย บริษัทกรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ จำกัด ของตระกูลรัตนรักษ์ ได้สัญญาบริหารในนาม “ช่อง7 สี” จากกองทัพบก เปิดอย่างเป็นทางการในปลายปี 2510 ขณะที่บริษัทบางกอกเอ็นเตอร์เทนเมนท์ของตระกูลมาลีนนท์ได้สัญญาร่วมดำเนินงานทีวีสีช่อง 3 จากบริษัทไทยโทรทัศน์ (ต่อมายกเลิก โอนมาเป็นของอสมท.) ในเดือนมีนาคม 2511”จากข้อเขียนปี2545 ต่อมามี มีบทสรุปอย่างจริงจังว่า
“เครือข่ายธุรกิจจากกรุงเทพฯ ขยายอิทธิพลครอบคลุมระดับประเทศ เริ่มต้นส่งผล ถึงความอยู่รอด ของธุรกิจภูมิภาค แล้วขยายอิทธิพลลงลึกระดับวิถีชีวิตผู้บริโภคในเวลาต่อมา” (ปี2552) โดยพยายามเชื่อมโยงกับเหตุการณ์สำคัญของสังคมธุรกิจไทย ว่าด้วยธุรกิจสื่อสาร และค้าปลีกที่เป์นขบวนการใหญ่ในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงหัวเมืองและชนบทไทย (โปรดดูลำดับเหตุการณ์ท้ายบทความ)
บุคลิกใหม่
อีกมิติหนึ่งที่สำคัญมาก ถือเป็นความสมดุลแห่งความสัมพันธ์ ระหว่างสังคมหัวเมืองและชนบทที่พัฒนาไปอย่างมาก กับข้อจำกัดสังคมเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯด้วย กรุงเทพฯ ได้พัฒนาไปถึงจุดหนึ่งที่น่าสนใจ กลายเป็นเมืองใหญ่ที่มีปัญหาใหญ่เชิงเปรียบเทียบเช่นกัน
–กรุงเทพฯ จากความเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ ในฐานะศูนย์กลางการเงิน การบริหาร แต่ขณะเดียวกัน ก็กลายเป็นเมืองที่ต้องพึ่งพิงหัวเมืองและชนบทมากขึ้น ปรากฏการณ์ความวิตกกังวล การกักตุนสินค้า สินค้าขาดตลาดอย่างรุนแรง ในช่วงวิกฤติการณ์นำท่วมครั้งใหญ่ ครั้งล่าสุด สะท้อนความเปราะบางและความพึ่งพา(โปรดเข้าใจด้วยว่า เป็นคนละเรื่อง กับแนวคิด ว่าด้วยความพึงพาและครอบงำโดยธุรกิจในเมืองหลวง กับเครือข่ายของตนเองในหัวเมืองและชนบท ที่ผมมักกล่าวถึงในข้อเขียนก่อนหน้านั้น) ของเมืองหลวงกับหัวเมืองและชนบทอย่างชัดเจน
กรุงเทพฯทุกวันนี้ไม่มีระบบเศรษฐกิจทั้งระบบอยู่อย่างผนึกผสาน กลายเป็นเมืองดูเหมือนมีความซับซ้อน แต่ความจริงเป็นเมืองที่มีบุคลิกเฉพาะมากขึ้น ในฐานะศูนย์กลาง การบริหาร และการบริการ โดยไม่มีระบบเศรษฐกิจที่เป็นจริง หรือภาคการผลิตตอบสนองเมือง ซึ่งมีผู้บริโภคจำนวนมากที่สุดในประเทศ กระจุกตัวอยู่
ขณะที่หัวเมืองและชนบท มีระบบเศรษฐกิจที่ผสมผสานมากกว่าครั้งใดๆ มีการการผลิต ภาคเกษตรและอุตสาหกรรม ภาคบริการ ค่อนข้างครบวงจร ซึ่งถือเป็นระบบที่พึ่งตนเอง( Self -contained) ได้มากกว่ากรุงเทพฯ จากบทความตอนที่แล้วให้ภาพอย่างชัดเจน รวมทั้งการจ้างงานอย่างเป็นระบบมากขึ้น ไปจนถึงระบบภาษีที่เอื้อต่อท้องถิ่นขึ้นบ้าง
–กรุงเทพฯมีปัญหาความแออัด ทั้งระบบสังคมและการเชื่อมต่อ เข้าถึง โดยเฉพาะมีต้นทุนในการเดินทาง ขนส่ง การสื่อสารทางตรงหรือระบบลอจิสติกส์มากกว่าปกติ อันเนื่องมาจากสภาพปัญหาจรจรภายในเมือง รอบนอก และเนื่องจากในตำแหน่งอยู่ตรงกลางของประเทศ การเข้าถึง หรือเชื่อมต่อกับระบบพึ่งพิงจากหัวเมืองและชนบท โดยเฉพาะการเดินทางของสินค้าเข้าสู่กรุงเทพฯ จึงมีระยะทางไกลมาก เมื่อเปรียบเทียบกับหัวเมืองที่มีเครือข่ายใกล้เคียงค่อนข้างครบถ้วนในแต่ละภูมิภาค ในด้านตรงข้ามเป็นปรากฏการณ์น่าทึ่งของการเดินทางออกจาก กรุงเทพฯ สู่หัวเมืองและชนบท กลับสะดวกสบาย กว่าการเดินทางภายในกรุงเทพฯเอง ถือเป็นกิจกรรมที่มากขึ้นเป็นปกติของการเดินทางไป-มา ระหว่างกรุงเทพฯกับหัวเมืองและชนบท
ปัญหาต้นทุนระบบลอจิสติกส์จะมีมากขึ้น เมื่อขนาดตลาดบริโภคของกรุงเทพฯไม่ขยายตัวเหมือนช่วง 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างชัดเจน
การพัฒนาเครือข่ายการคมนาคม และสื่อสารในหัวเมืองและชนบท ส่งผลให้หัวเมืองและชนบท ย่อมทีมีเครือข่ายลอจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
–กรุงเทพฯมีความอ่อนไหวกับปัญหาต่างๆทั้งทางเศรษฐกิจ การเมืองและอื่นๆ ในช่วงหลายปีมานี้สะท้อนให้ความอ่อนไหวและสั่นไหวมากกว่าปกติ จากปัญหาทางเศรษฐกิจ ที่ได้รับแรงกระทบทั้งในระบบตนเองและระบบโลก จนถึงกรณีน้ำท่วมครั้งใหญ่ ความสั่นไหวแต่ละครั้งรุนแรง มีต้นทุนและความเสียหายที่เพิ่มขึ้นๆ แม้ว่าปัญหาจากเมืองหลวง จะส่งผลกระทบต่อหัวเมืองและชนบทพอสมควรในปัจจุบัน ในฐานะมีระบบเศรษฐกิจเชื่อมโยง แต่แรงกระทบนี้เชื่อว่า นับวันจะลดลงเมืองหัวเมืองและชนบทมีระบบของตนเองที่แข็งแรงมากขึ้น
–ในเชิงสังคมและวิถีชีวิต กรุงเทพฯเป็นเมืองของการทำงานตามระบบการจ้างงานประจำอย่างเข้มข้น วิถีชีวิตที่สมดุลของคนทำงานที่มีรายได้ มีความต้องการมากกว่าการใช้ชีวิต จับจ่ายใช้สอยในศูนย์การค้า รูปแบบใหม่ๆ หรือสถานที่พักผ่อน และความบันเทิงในเมืองเท่านั้น กลุ่มคนใหม่ที่เติบโตขึ้นอย่างมากในกรุงเทพฯในช่วงทศวรรษมานี้ ต้องการใช้ชีวิตนอกเหนือจากการทำงานในบรรยากาศที่แตกต่างจากเมือง โดยเฉพาะในสถานที่พักผ่อนนอกเมือง อ้างอิงกับบรรยากาศธรรมชาติมากขึ้น กรุงเทพฯมีจุดอ่อนในฐานะเป็นเมืองหลวงที่มีระยะห่างจากแหล่งผักผ่อนและการใช้ชีวิตกับธรรมชาติพอสมควร เมื่อเปรียบเทียบหัวเมืองและชนบท ที่ค่อนข้างมีความสมดุล แนวโน้มความพยายามสร้างสรรค์วิถีชีวิตในเมือง ผ่านรูปแบบธุรกิจบริการใหม่ ให้เข้ากับหรือ สัมพันธ์กับวิถีชีวิตที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติในหัวเมืองและชนบท จึงมีมากขึ้น
หัวเมืองและชนบทของไทยไม่เพียงพัฒนาบุคลิกให้มีความทันสมัย มากขึ้นด้วย หากได้ค้นพบและรังสรรค์สถานที่ใหม่ ชุมชนใหม่ที่ว่าด้วย ความพยายามสร้างสมดุลระหว่างวิถีชีวิตทันสมัยแบบเมืองเข้ากับบรรยากาศของหัวเมืองและชนบท แม้ว่าจะเป็นความคิดมาจากรากฐานโอกาสทางธุรกิจของระบบทุนนิยม ซึ่งดูเหมือนสามารถตอบสนองผู้คนเมืองกลุ่มหนึ่งได้มาก สามารถดึงดูดผู้คนจากเมืองหลวงแวะเวียน พบปะ แลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ หรือเคลื่อนย้ายสู่หัวเมืองและชนบทมากขึ้นด้วย
แรงกระตุ้น
หลายคนเชื่อว่า แรงกระตุ้น เพื่อเพิ่มแรงดูดให้กับหัวเมืองและชนบท มาจากการลงทุนของธุรกิจเครือข่ายใหญ่ โดยมีความชัดเจนในยุทธ์ศาสตร์ใหม่ เพื่อรองรับสถานการณ์ใหม่ของการหลอมรวมระบบเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค ไม่กี่ปีข้างหน้า นอกจากจะมองเป็นโอกาสระหว่างประเทศแล้ว ยังมุ่งสู่หัวเมืองของตนเองที่มีภูมิศาสตร์สัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านด้วย
ว่าไปแล้วสังคมหัวเมืองและชนบทไทย มีตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่ดี มาจากมีความเชื่อมโยงทางภูมิศาสตร์กับประเทศเพื่อนบ้านรอบด้าน
ยุทธศาสตร์ใหม่ที่อันคึกดักของบรรดาธุรกิจเครือข่ายใหญ่ สัมพันธ์กับเหตุการณ์ที่เป็นจริงในความพยายามพัฒนาระบบลอจิสติกส์ระดับภูมิภาค โดยเฉพาะการสร้างเครือข่ายคมนาคม ขนส่ง จากเหนือจรดใต้ จากตะวันออก สู่ตะวันตกของประเทศไทย เพื่อขยายโอกาสการเข้าถึงของระบบเศรษฐกิจภูมิภาค
สำหรับผม ให้ความสนใจความเคลื่อนไหวอย่างคึกคัก ว่าด้วยการ ข้าถึงความรู้และประสบการณ์(จากเมืองหลวงและที่อื่นๆของโลก)ของชุมชนหัวเมืองและชนบทมากเป็นพิเศษ เป็นความเคลื่อนไหวที่ก่อตัวเงียบๆมาระยะหนึ่ง เป็นอีกด้านหนึ่งของปรากฏการณ์การบริโภคสินค้าพื้นฐานและสินค้าทางวัฒนธรรม จากสังคมเมืองหลวงของชุมชนหัวเมืองและชนบท โดยเชื่อว่าเป็นความเคลื่อนไหวที่มีนัยสำคัญ ต่อการเปลี่ยนแปลงของหัวเมืองและชนบท อาจรวมถึงเมือหลวงและประเทศด้วย ถือเป็นเรื่องน่าติดตามอย่างยิ่งจากนี้ไป
ความรู้และประสบการณ์มาจากเงื่อนไขที่พัฒนาเป็นขั้นเป็นตอนอย่างเร่งเร้า จากการเข้าถึงทางภูมิศาสตร์ด้วยระบบเครือข่าย ตั้งแต่การเดินทางเข้า-ออกระหว่างเมืองหลวง กับหัวเมืองและชนบทง่ายขึ้น การขยายตัวทางภูมิศาสตร์ของสถาบันการศึกษาจากส่วนกลาง จนถึงโทรศัพท์ พื้นฐาน และไร้สาย ทีวีระบบเดิม และทีวีดาวเทียม สู่เครือข่ายสังคมทางอินเตอร์เน็ต
ความเคลื่อนไหวด้านอ่อนละมุน( Soft side) จับต้องได้ยาก แต่น่าสนใจยิ่งนัก
เหตุการณ์สำคัญ—โครงข่ายและเครือข่าย
2531-2533 เครือข่ายโทรทัศน์ทั่วประเทศ
2531 เครือข่ายค้าปลีกเริ่มค้นในเมืองไทย Makro, 7-Eleven
2533เครือข่ายสื่อสารไร้สายเกิดขึ้น
AIS ใช้เวลา15 ปี (2533-2548) มีคนใช้บริการ มากเกิน 10 ล้านคน
2544 DTAC ขยายตัวเครือข่ายครั้งใหญ่ หลังจากมีเงินลงทุนก้อนใหม่
2544 Orange แห่งอังกฤษ ร่วมกับซีพี เปิดบริการรายที่3 ยุคโทรศัพท์มือถือ เริ่มเฟื่องฟู ต่อมา กลายเป็น True move
2534 ดาวเทียมไทยคมเกิดขึ้น ตอบสนองธุรกิจโดยเฉพาะขนาดใหญ่ ในการสื่อสารในขอบเขตทั่วประเทศ
2536 เริ่มต้นโครงการโทรศัพท์พื้นฐานชนบท 1 ล้านเลขหมาย
2536– 2541 เครือข่ายค้าปลีกขยายตัวมากขึ้น
2536 Big C
2538 Home Pro
2541 Tesco Lotus