การศึกษามีมาตรฐานเดียว

เมื่อสองตอนที่แล้ว(ปิยสวัสดิ์   อัมระนันทน์  กับศตวรรษหัวหิน)ในข้อเขียนของผม ได้พาดพิงถึงการศึกษาของชนชั้นนำของเมืองไทย ทั้งในอดีตและเชื่อมโยงมาถึงปัจจุบัน   ในเวลาเดียวกัน ได้ข่าวว่าต้นตุลาคมที่ผ่านมา  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเก่าแก่และอนุรักษ์นิยมที่สุดของไทย  ได้จัดให้มีการสนทนาเรื่องการจัดอันดับมหาวิทยาลัยระดับโลกกันขึ้นอย่างเป็นการเป็นงาน

 

ปรากฏการณ์บางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นดูเหมือนเป็นสัญญาณที่น่าสนใจ  มุ่งไปสู่ทิศทางสำคัญ   นั่นคือการประเมินตนเองอย่างเงียบๆ ของระบบการศึกษาไทย   ผมพยายามจะคิด คาดหวังและตีความเช่นนั้น

การประเมินตนเองครั้งนี้มีความสำคัญอย่างมาก  มิใช่บทสนทว่าด้วยพัฒนาระบบการศึกษาไทยพื้นๆของบรรดาผู้เกี่ยวข้องระดับยุทธ์ศาสตร์ทั้งหลาย  มักเริ่มต้นด้วยคาถาพื้นฐานเสมอ ประดุจคำสวดที่ขึ้นต้ด้วย”นะโม ตัสสะ.”อย่างไรเช่นนั้น   สิ่งทีพยายามคิดและเชื่อนั้นว่าด้วยมาตรฐานการการศึกษา ด้วยความเชื่ออันหนักแน่นว่า มีเพียงมาตรฐานเดียว คือ มาตรฐานโลก   ความสนใจเรื่องนี้กำลังเป็นภาพแห่งความพยายามที่เป็นจริงเป็นจังขึ้น   อย่างน้อยก็เริ่มต้นที่ใดที่หนึ่ง

จุฬาฯ มิได้เป็นเพียงมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุด  ยังมีความภูมิใจกับตัวเองมากที่สุดด้วย สถาบันแห่งนี้ มีความเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์  ว่าด้วยการพัฒนาสังคมในยุคสมัยใหม่อย่างมาก  ไมว่าการเริ่มต้นขึ้นในฐานะสถาบันพัฒนาข้าราชการในยุคWesternization of Siam จากนั้นก็เริ่มศึกษาด้านวิทยาศาสตร์(คณะวิศวกรรมศาสตร์)ในยุคเดียวกับการก่อสร้างอาคารที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองหลวง ใหม่(อ้างจากตอนที่แล้ว) แรงบันดาลใจในการตั้งโรงงานอุตสาหกรรมแห่งแรกของไทย(โรงงานซิเมนต์) เพื่อป้อนการก่อสร้างสถานที่สำคัญของประเทศ และความพยามให้มีคุณภาพทัดเทียมกับซิเมนต์ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ

เป็นที่น่าสังเกตว่าหลังจากอธิการบดีคนใหม่ของจุฬาฯดำรงตำแหน่งเมื่อปีที่แล้ว   ความสนใจในเรื่องที่ผมกำลังกล่าวมีมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด    หลังจากรับตำแหน่งนายแพทย์ภิรมย์ กมลรัตนกุล อธิการบดีคนที่16 เป็นคนพื้นเพจากต่างจังหวัด ประกาศเป้าหมายในการบริหารสถาบันการศึกษาที่อนุรักษ์นิยมที่สุด ด้วยความกล้าหาญและเป็นเป้าหมายรูปธรรมอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ว่าจะพยายามให้จุฬาติดอันดับโลก 60 อันดับแรก สำหรับคนที่ติดตามเรื่องนี้อย่างต่อเนือง(แน่นอนรวมทั้งผมด้วย)ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่น่าสนใจอย่างมาก   แม้จะคิดว่า มิใช่เรื่องง่ายเลยในความพยายามบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้เช่นนั้น

ล่าสุดไม่เพียงการสนทนาอภิปรายเรื่องการจัดอันดับเท่านั้น     หากกลับไปพิจารณาหลักฐานสำคัญWebsite ของจุฬาฯเอง (www.chula.ac.th)หรือสารอธิการบดี (สิ่งเหล่านี้ เป็นการยืนยันความคิด ความตั้งมั่น ต่อสาธารณชนอย่างมีนัยยะสำคัญ)ก็กล่าวย้ำถึงเรื่องนี้อย่างภาคภูมิใจ เช่น“จุฬาฯ มหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศไทย”และ“จุฬาฯของเราเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำในระดับโลก”(โดยอ้างการจัดอันดับของTHE/QS World University Rankings)

สิ่งที่น่าสนใจในอย่างมากจากนี้ไปคงมิใช่การติดตามว่าภายในช่วงเวลาการดำรงตำแหน่ง     อธิการบดีซึ่งมาจากนายแพทย์คนที่สองจะทำตามที่ประกาศไว้ได้หรือไม่   สำหรับผมสาระอยู่ที่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยของไทย มีความเข้าใจบทบาทและหน้าที่ของมหาวิทยาลัย   ว่าด้วย มาตรฐานเดียวก็คือมาตรฐานระดับโลก

เท่าที่สังเกตจุฬาฯยึดการจัดอันดับของ THE/QS World University Rankings (www.topuniversities.com/worlduniversityrankings)จะด้วยจุฬาฯ เป็นมหาวิทยาลัยแห่งเดียวของไทยที่ติดอันดับและอยู่ในอันดับดีพอสมควร (ตามที่ใช้ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์)  ถือเป็นเรื่องน่ายินดีทั้งในแง่อันดับที่ได้มาและความเข้าใจ  อย่างไรก็ตามสำหรับผมขอเสนอเพิ่มเติมให้จุฬาฯยึดการจัดอันดับของAcademic Ranking of World Universities (Shanghai Jiao Tong University) – http://ed.sjtu.edu.cn/ranking.htm ซึ่งผู้บริหาร มหาวิทยาลัยทั่วโลกให้ความสนใจเป็นพิเศษด้วย

ความแตกต่างระหว่างTHE/QS กับ Shanghai Jiao Tong University มีนัยยะสำคัญว่าด้วยวิธีการและแนวทางแล้ว ในความเห็นของผม ความสำคัญที่มากกว่านั้นคือความเชื่อมโยงถึงแรงบันดาลใจและเป็นภาพสะท้อนความสามารถของผู้บริหารมหาวิทยาลัย

นักศึกษาและฝ่ายบุคคลขององค์กรต่างๆดูจะสนใจ THE/QS พอสมควร ในฐานะให้ความสำคัญความเห็นของผู้ว่าจ้างงาน และชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยที่สะสมมานานค่อนข้างมาก โดยผ่านความคิดเห็นและความเชื่อของผู้คนในวงการเดียวกัน   ในขณะที่ Shanghai Jiao Tong University ให้ความสำคัญในฐานะบทบาทของมหาวิทยาลัยที่ว่าด้วยคุณภาพการศึกษา และวิจัยโดยตรง เป็นสำคัญ ผ่านผลงานที่จับต้องได้   ผลิตมาจากมหาวิทยาลัยเอง การจัดอันดับของมหาวิทยาลัยในเอเชียแห่งนี้ ดูเหมือนผู้บริหารมหาวิทยาลัยระดับโลก ให้ความสนใจอย่างมาก

การจัดอันดับมหาวิทยาลัยระดับโลกไม่ว่าจะเป็นเกณฑ์ใด  ย่อมสะท้อนมาตรฐานสำคัญของมหาวิทยาลัยทั่วโลก  หากจุฬาฯ มีความพยายามเข้าสู่อันดับของ Shanghai Jiao Tong University ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีทั้งๆมีการจัดมาแล้ว 6 ปี ใน 500อันดับก็ตาม   ก็คงต้องมียุทธ์ศาสตร์ แผนการอย่างเป็นจริงเป็นจังพอสมควร คงมิใช่แค่คำปราศรัย หรือบทสนทนาอย่างครืนเครงหรือเคร่งเครียดเท่านั้น 

“ยุทธ์ศาสตร์ ศึกษาฝรั่ง สู้ฝรั่ง บทเรียนเมื่อ100ปีที่แล้ว  ดำเนินมาจนถึงสังคมไทยได้ปรับโฉมหน้า หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง(2475) และหลังสงครามโลกครั้งที่สอง (2488) ระบบอาณานิคมยุคใหม่ ที่มากับบริษัทระดับโลก ชนชั้นนำของไทยในยุคต่อมามีความหลากหลากมายขึ้น จาก สมาชิกราชวงศ์ สู่ขุนนางและพ่อค้าที่มีความใกล้ชิด พวกเขามีโอกาสในการสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจของตนเองอย่างกว้างขวาง แต่สิ่งที่สำคัญก็คือกลุ่มคนเหล่านี้มีความรู้แบบตะวันตกมากพอสมควร แนวทางการสร้างบุคคลกร เช่นที่ดำเนินต่อเนื่องมาจากรัชสมัยรัชการที่ 5ก็ดำเนินต่อเนื่องมา แต่ด้วยวัถตุประสงค์ที่หลากหลาย และแตกต่างออกไปมากขึ้น

ยุทธ์ศาสตร์เบี่ยงเบน

สถานการณ์ของโลกเป็นแรงกดันอย่างสำคัญของความคิดทางยุทธ์ศาสตร์  พึงสังเกตว่าในยุคต่อมายุคสังคมไทยมีความกลมกลืนกับอิทธิพลในโลกมากขึ้น สังคมไทยดูเป็นส่วนหนึ่งของโลก ภัยคุกคามของระบบอาณานิคมไม่มีรูปร่างชัดเจน เช่นอดีต  ในยุทธ์ศาสตร์เศรษฐกิจ การผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า  การได้สนับสนุนทางการเงินจากตะวันตก  ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเกิดขึ้น สร้างความมั่งคั่งแก่ผู้คนในเติบโตหลังสงครามโลกครั้งที่สองอย่างมากมาย  ตลอดจนการการเมืองในระดับภูมิภาค  ให้ความสำคัญกับการต้อสู้กับภัยคอมมิวนิสต์ ในแผ่นดินของไทยเอง ในยุคนี้ถือว่าเป็นที่สังคมไทยหมกหมุนกับตัวเอง และคิดว่าระบบการศึกษาแบบตะวันตกของตนเองใช้ได้  เป็นยุคที่เบี่ยงเบนจากยุทธ์ศาสตร์ระดับโลกไปพอสมควร

โมเดลการศึกษาจากนี้มาจึงเน้นเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันของกลุ่มตนเอง ในประเทศ สร้างโอกาสมากขึ้นในประเทศตนเองเท่านั้น

แนวความคิดนี้ครอบงำระบบการให้ทุนการศึกษาของรัฐ พอๆกับความคิดและแนวทางการสร้างชนรุ่นหลังของผู้คนทั่วไปในสังคมไทยต่อเนืองยาวนานจากนั้นมา”(เนื้อหาบางส่วนในหนังสือ ” หาโรงเรียนให้ลูก” )

ปัจจุบันความรู้สึกถูก“คุกคาม”เช่นยุคอาณานิคมเป็นเรื่องที่จับต้องยากมาก แล้วแต่มุมมองหรือวิสัยทัศน์ในเชิงยุทธ์ศาสตร์ของผู้นำ   เป็นเรื่องแนวความคิดระดับปัจเจก มิใช่ภาพที่ปรากฏอย่างเด่นชัดในอดีตเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว

สำหรับจุฬาฯเองโดยทั่วไปดูเหมือนไม่มีแรงกดดันใดๆในฐานะมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง  มีผู้ต้องการเข้าเรียนเป็นอันดับหนึ่งของเมืองไทย  แม้จะปรากฏว่าหลักสูตรที่เรียกว่า International Programs มีปัญหาคุณสมบัติผู้เรียนอยู่บ้าง บางสาขามีผู้ต้องตามคุณสมบัติไม่มากพอ หลักสูตรที่กำลังเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ดในมหาวิทยาลัยไทยขณะนี้   ดูเหมือนยังไม่มี่แนวทางที่ชัดเจนในความเชื่อมโยงกับยุทธ์ศาสตร์ของสังคม   ในขณะที่เป้าหมายในเชิงธุรกิจการศึกษา มีผู้คนรู้สึกและจับต้องได้มากกว่า   แต่ย่างไรก็ตามก็มิใช่แรงกดดัน

ดังนั้นจึงเป็นเรื่องน่ายินดี   ผู้บริหารมหาวิทยาลัยชั้นนำของไทยมีแรงบันดาลใจสำคัญ มองการศึกษาเป็นยุทธ์ศาสตร์ระดับโลก    ไม่ว่าจะมีการเฉลิมฉลอง110ปี (ถือเป็นเวลาที่ดูดีพอสมควร) ของสถาบันแห่งนี้ อย่างที่ทำๆกันหรือไม่    ผมถือว่านี่คือการจุดประกายครั้งใหม่สำหรับการก้าวไปสู่ศตวรรษหน้าของระบบการศึกษาไทย

ผู้เขียน: viratts

writer and farmer

ใส่ความเห็น

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Connecting to %s

%d bloggers like this: