(2)ทีมบริหารกับสายสัมพันธ์
หมายเหตุ ภาพบุคคล ถ่ายทำช่วงปี2546-2548
ยุทธศาสตร์และแผนธุรกิจใหม่อันท้าทาย เข้ากับจังหวะโอกาสเปิดขึ้นครั้งใหญ่ อาจคาดไม่ถึง
ภาพกว้างๆ ความสนใจของผู้คนในสังคม เกี่ยวกับสยามไปโอไซแอนซ์ (Siam Biosciences หรือ SBS) อาจแตกต่างกันไป บางคนให้ความสนใจการเปลี่ยนแปลงเรื่องราวกิจการในช่วงไม่กี่ปีมานี้
เริ่มต้นเรื่องราวที่ว่า “บริษัท สยาม ไบโอไซเอนซ์ ก่อตั้งปี2552 โดยบริษัททุนลดาวัลย์ จำกัด (กิจการในเครือสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์)” ปรากฏในwebsiteทางการของบริษัท เข้ากับจังหวะการเปิดตัวต่อสาธารณะครั้งแรกๆ โดยเฉพาะการมาเยือนของนายกรัฐมนตรี(พฤษภาคม 2560)
ต่อมาไม่นาน นิยามบางตอนได้เปลี่ยนแปลงไป โดยเน้นว่า “ผู้ผลิตยาชีววัตถุ รายแรกของอาเซียน” ทั้งเพิ่มเติมและปรับเปลี่ยนข้อความไปจากเดิมเล็กน้อยด้วย “ก่อตั้งด้วยทุนจดทะเบียน 5,000 ล้านบาท โดยสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ถือหุ้น 100%” (กุมภาพันธ์ปี2563) ปรากฏในถ้อยแถลง เมื่อ SBS เปิดตัวอีกครั้ง มีสื่อมวลชนกลุ่มใหญ่มาเยี่ยมชมโรงงาน เข้าใจเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงนามและปรับโครงสร้างสำนักงานทรัพย์สินฯ ตามพระราชบัญญัติปี2561
ปัจจุบันในช่วงเวลาผู้คนในสังคมไทยรู้จักอย่างกว้างขวาง เรื่องราวSBSที่เขียนขึ้นอย่างเป็นทางการได้ปรับเปลี่ยนอีกครั้ง “ด้วยเจตนารมณ์อันแน่วแน่ที่จะให้ประชาชนชาวไทยสามารถได้รับยาที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพสูงในราคาที่ถูกลง สร้างความมั่นคงทางยา เพื่อดูแลรักษาสุขภาพของคนไทย เครือสยามไบโอไซเอนซ์ จึงก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2552 ซึ่งประกอบไปด้วย 2 บริษัทหลักคือ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด และบริษัท เอเพ็กซ์เซล่า จำกัด” (https://www.siambioscience.com/)
ส่วนที่ผมสนใจอย่างจริงจังนั้นแตกต่างออกไป ตั้งใจให้ความสำคัญกับการบริหารกิจการ ถือว่าเป็นทีมที่ความต่อเนื่อง แม้ว่าประธานกรรมการผู้ก่อตั้ง-ดร.เสนาะ อูนากูล ได้พ้นตำแหน่งไปแล้ว โดยได้ทำหน้าที่ในช่วงต้นอย่างที่ควร
ประธานกรรมการคนใหม่-พล.อ.อ. สถิตพงษ์ สุขวิมล ถือเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งในรัชสมัยปัจจุบัน โดยเฉพาะในฐานะประธานกรรมการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์(ตั้งแต่ปี2560) และประธานกรรมการบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัดหรือเอสซีจี(ตั้งแต่ปี2561)
ส่วนทีมบริหารSBS ผู้มีความเชื่อมโยงกับเอสซีจี ยังอยู่กันครบครันตั้งแต่ต้น มี อภิพร ภาษวัธน์ (ภาพบนขวา) ในฐานะประธานกรรมการบริหาร กับกรรมการคนสำคัญ อีก 2คน- อวิรุทธ์ วงศ์พุทธพิทักษ์(ภาพแถว2 ซ้าย) และชลณัฐ ญาณารณพ (ภาพแถว2ขวา)ว่าไปแล้วแต่ละคนมีบทบาทที่แตกต่าง แต่เสริมกันอย่างลงตัว
อย่างไรก็ตาม ภาพทีมบริหารข้างต้น เป็นส่วนหนึ่งในความเคลื่อนไหว ว่าด้วยพัฒนาการอีกยุค เครือข่ายธุรกิจสำนักงานทรัพย์สินฯ
เชื่อกันว่ามีความสัมพันธ์กับ ชุมพล ณ ลำเลียง (ภาพบน ซ้าย) ผู้จัดการใหญ่เอสซีจียุคคนไทย ผู้อยู่ในตำแหน่งยาวนานที่สุด(2536-2548) ยังคงบทบาทต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ในฐานะกรรมการ (2535-ปัจจุบัน) ถือว่าเป็นกรรมการคนหนึ่งชุดปัจจุบันอยู่ในตำแหน่งนานที่สุดเช่นกัน ขณะนี้มีตำแหน่งเป็นรองประธานกรรมการเอสซีจีด้วย คนภายในรู้กันดีว่า เป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญเพียงใดในปัจจุบัน
ชุมพล ณ ลำเลียง มีบทบาทกว้างขึ้น เมื่อเข้ามาเป็นกรรมการในเครือข่ายธุรกิจสำนักงานทรัพย์สินฯ โดยเฉพาะ บริษัทสยามสินธร (2553-ปัจจุบัน) และ บริษัททุนลดาวัลย์ (2554-ปัจจุบัน) จากนั้นกิจการทั้งสองจึงมีการเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญ
สยามสินธร เริ่มต้นเปลี่ยนทีมผู้บริหารชุดใหญ่ เป็นอดีตผู้บริหารเอสซีจีในยุคชุมพล ณ ลำเลียง จากนั้น(ปี2557)เปิดโครงการอสังหาริมทรัพย์อันยิ่งใหญ่ในทำเลใจกลางกรุงเทพ บนที่ดิน 56 ไร่ ระหว่างถนนหลังสวนและซอยต้นสน (52 ไร่) กับอีกแปลงถนนหลังสวนติดโรงเรียนมาแตร์เดอ( 4 ไร่) เป็นหนึ่งในที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินฯ
เป็นอีกขั้นการพัฒนาที่ดินในพื้นที่ขนาดใหญ่ ด้วยการลงทุนจำนวนมากกว่าที่เคยเป็นมาในอดีต ไม่ว่า โอลด์สยามพลาซ่า(2536) หรือ สินธร ทาวเวอร์(2537) แต่ยังเป็นความต่อเนื่องจากธุรกิจดั้งเดิม
ชลาลักษณ์ บุนนาค กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารสยามสินธร เคยเป็นผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่เอสซีจี(2538-2548)มีบทบาทในธุรกิจที่แตกแขนงออกจากธุรกิจหลัก มีประสบการณ์ในดีลสำคัญ กรณีร่วมทุนธุรกิจยางรถยนต์ระดับโลกMichelin เชื่อกันว่าเหมาะกันงานดีลกับผู้เช่าที่ดั้งเดิมในย่านสารสิน-หลังสวน
ส่วนทุนลดาวัลย์ “…กิจการลงทุนในเครือสำนักงานทรัพย์สินฯ ปรากฏรายชื่อในฐานะผู้ถือหุ้นรายเล็กในกิจการตลาดหุ้นหลายแห่ง ..”(ผมเคยว่าไว้เมื่อปี2552) จัดตั้งขึ้นราวปี 2544 โดยมีอดีตผู้บริหารเอสซีจีคนหนึ่ง-อวิรุทธ์ วงศ์พุทธพิทักษ์ เข้ามาเป็นกรรมการ(ตั้งแต่ปี 2546) จนถึงปี2561 เขาก็ขึ้นเป็นกรรมการผู้จัดการ
อวิรุทธ์ วงศ์พุทธพิทักษ์ อดีตผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่เอสซีจีอีกคน เกษียณในปี2548 เช่นกัน มีประสบการณ์ทางด้านวางแผนและการเงิน และเคยบริหารกิจการประกับภัยในเครือทรัพย์สินฯมานาน(ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน)- ปี2538-ปัจจุบัน) สอดคล้องกับบทบาทการลงทุนใหม่ๆ เขาจึงเป็นกรรมการทั้งสยามสินธร(ตั้งแต่ปี2555) และSBS(ตั้งแต่ปี2552)
สยามสินธรกับโครงการใหญ่ใหม่ เป็นความต่อเนื่องจากพื้นฐานผู้ครอบครองที่ดินสำคัญในกรุงเทพฯ และมีประสบการณ์การพัฒนาที่ผ่านมาในช่วง2-3ทศวรรษที่แล้ว ส่วนSBS เป็นธุรกิจใหม่อย่างแท้จริง และมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ด้วย
เป็นความลงตัวทีเดียวที่อภิพร ภาษวัธน์ เข้ามาบริหารSBSตั้งแต่ต้น เขาเป็นลูกหม้อเอสซีจีคนหนึ่ง มีบทบาทบุกเบิกธุรกิจใหม่ซึ่งกลายเป็นธุรกิจใหญ่ที่สุดของเอสซีจีในปัจจุบัน เป็นทีมผู้บริหารชุดเดียวกัน เกษียณจากเอสซีจีในปีเดียวกัน(2548) ทั้ง ชุมพล ณ ลำเลียง อวิรุทธ์ วงศ์พุทธพิทักษ์ และชลาลักษณ์ บุนนาค
อภิพร ภาษวัธน์ แม้เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์เอสซีจี(2542-2548) ที่เป็นจริงเขาเป็นผู้บริหารธุรกิจนี้มาตั้งแต่ต้น แล้วแต่ตำแหน่งจะเรียกกัน ตั้งแต่ปี2526 เมื่อเอสซีจีเข้าสู่ธุรกิจอย่างจริงจังก็ว่าได้ ประสบการณ์สำคัญที่เขาภูมิใจ คือการสร้างทีมงาน
เมื่อมาถึงSBS เขาได้สรรหากรรมการผู้จัดการได้อย่างดีเช่นกัน-ดร. ทรงพล ดีจงกิจ ผู้มีภูมิหลังน่าสนใจ ผ่านการศึกษาด้านเคมีจากสถาบันชั้นนำในสหรัฐ(Massachusetts Institute of Technology และ The Scripps Research Institute ) มีประสบการณ์กับบริษัท เทคโนโลยีชีวภาพอิสระที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง สำนักงานใหญ่อยู่ใน รัฐแคลิฟอร์เนีย( Amgen Inc.)
ส่วนกรรมการSBS อีกคน-ชลณัฐ ญาณารณพ มีเรื่องราวน่าสนใจเช่นกัน ในฐานะเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์เอสซีจี(2548-2562) ต่อจากอภิพร ภาษวัธน์ ในช่วงเวลานั้น SCG-Oxford Centre of Excellence in Chemistry (CoE) ก่อตั้งขึ้น(2555) จะเรียกว่าชิ้นส่วนหนึ่งในความบังเอิญ หรืออย่างไรก็แล้วแต่ ได้มีส่วนชักนำมาสัมพันธ์กับAstraZeneca