คนรวยหน้าใหม่

วิทูรผู้คนคงงุนงงกันมากทีเดียว  หลังจากที่Forbes ผู้จัดอันดับ Thailand‘s 50 richest เปิดตัวเจ้าของกิจการ โกลบอลเฮาส์เข้ามาอยู่ในอันดับที่27 ในฐานะ Thailand‘s richest newcomers

 

เรื่องราวของ โกลบอลเฮาส์  แม้ไม่มีความลับดำมืด  แต่นับว่าเป็นปรากฏการณ์ที่น่าทึ่ง  ผมเคยจุดประเด็นขึ้นมาครั้งแรก ยังไม่ครบหนึ่งปีด้วยซ้ำ

เป็นดีลไม่ใหญ่เลย สำหรับเครือข่ายกิจการระดับภูมิภาค และบริษัทเก่าแก่ของสังคมไทย อย่างเอสซีจี ด้วยการลงทุนไม่ถึงหนึ่งหมื่นล้านบาท เพื่อเข้าถือหุ้นประมาณ หนึ่งในสามในบริษัทโกลบอลเฮาส์ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ที่อยู่ภาคอีสาน…ถือเป็นธุรกิจไทยรายแรก เอสซีจีให้ความสำคัญเป็นพิเศษ” (จากข้อเขียนของผมในเรื่อง Experience’s SCG กันยายน 2555)

“โมเดลธุรกิจของสยามโกลบอลเฮาส์ แม้ดูเป็นไปอย่างธรรมดาสามัญ แต่มีความสัมพันธ์กับบริบททั้งสังคมและธุรกิจ ไม่ว่าความเป็นไปของการเติบโตอย่างไม่มีใครคาดถึงของภูมิภาค โดยเฉพาะภาคอีสาน กับการเรียนรู้ใหม่อีกครั้งของผู้ประกอบการท้องถิ่น”            (    ตุลาคม  2555)

“โอกาสจากตลาดหุ้น (สยามโกลบอลเฮาส์ เข้าตลาดหุ้นปี 2552) นอกจากเป็นพลังในการขยายเครือข่าย ถือเป็นเงื่อนไขสำคัญของความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ ขณะเดียวก็เป็นการปรากฏตัวในที่ “โล่งแจ้ง” หากเอสซีจีไม่เชื่อมั่นในระบบการเปิดเผยข้อมูล ตามมาตรฐานตลาดหุ้น ดีลนี้คงไม่เกิดขึ้น

ในฐานะผู้เชื่อมั่นและพยายามอรรถาธิบายกระแสลมพัดแรงที่ภูธรมาตลอดในช่วงหลังๆมานี้   มองเห็นภาพที่กว้างขึ้น ไม่เพียงโอกาสของธุรกิจใหญ่ทั้งระดับชาติและเครือข่ายระดับโลก  ในพื้นที่ที่กว้างใหญ่ในหัวเมืองและชนบทมากขึ้นเท่านั้น หากเป็นที่เพาะโอกาสใหม่ๆให้กับคนพื้นที่  เพื่อเข้าสู่กระแสที่สวนทาง  จากระดับภูธรสู่เวทีที่กว้างขึ้นบทสรุปของผมในตอนนั้น

เท่าที่จับประเด็นแนวคิดหลักของ Forbes เกี่ยวกับความร่ำรวยของ วิทูร สุริยวนากุล เจ้าของและผู้บริหารสยามโกลบอลเฮาส์ (จากเรื่อง Thailand‘s Richest Newcomer Is a Retailer Who Made His Fortune in Nation’s Poorest Area,   Forbes Asia. July 15, 2013) ไม่มีสาระสำคัญที่แตกต่างจากนั้นนัก

ความสนใจของสื่อต่างประเทศ ดูเหมือนมีมากขึ้น ว่าด้วยปรากฏการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างน่าทึ่งของภาคอีสาน  ส่วนหนึ่งมักวิเคราะห์ว่ามีสาเหตุมาจากแรงกระตุ้นจากนโยบายทางการเมือง  อาทิ บทความเรื่อง Thailand’s boom: To the northeast, the spoils   Reuters Jun 15, 2013

แต่กรณีForbes ให้ความสำคัญเป็นพิเศษไปที่ข้อมูลในตลาดหุ้น   อ้างอิงกับมูลค่าหลักทรัพย์ โดยพิจารณาจากราคาหุ้นของสยามโกลบอลเฮาส์ ซึ่งอ้างว่าได้เพิ่มสูงขึ้นมากถึง 129% หลังจากขายหุ้นหนึ่งในสามให้เอสซีจี ได้เพียงปีเดียวเท่านั้น หรือสูงขึ้นถึง 8 เท่าหลังจากเข้าตลาดหุ้น ตั้งแต่ปี 2552    การคำนวณมูลค่าหุ้นสยามโกลบอลเฮาส์ที่วิทูร สุริยวนากุล ถืออยู่   น่าจะเป็นที่มาของบทสรุปที่ว่าเขามีความมั่งคั่งมูลค่าถึง 700 ล้านเหรียญสหรัฐ

ผมลองคำนวณดูบ้าง โดยอ้างอิงกับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์(สรุปข้อสนเทศบริษัทจดทะเบียน- GLOBALบริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด) เช่นเดียวกัน มูลค่าหุ้นของสยามโกลบอลเฮาส์ปัจจุบัน(12 กรกฎาคม 2556) มีมูลค่ามากกว่า 50,000ล่านบาท หากวิทูร สุริยวนากุล (และครอบครัว) ถือหุ้นมากกว่า50% ก็สามารถตีมูลค่าได้มากกว่า 25,000ลานบาท ข้อมูลชุดนี้ จึงดูสอดคล้องกับวิธีคำนวณของForbes

สิ่งทีผมสนใจเป็นพิเศษ ในช่วงเกือบหนึ่งปี หลังจากเอสซีจีเข้ามาถือหุ้นในสัดส่วนที่มีความหมาย  ความเป็นไปของสยามโกลบอลเฮาส์ เป็นอย่างไรบ้าง

ความเคลื่อนไหวอันเป็นปกติหลังจากสยามโกลบอลเฮาส์ขายหุ้นให้เอสซีจี    คือกระบวนการเพิ่มทุนซึ่งดำเนินไปอย่างครบถ้วนตามขั้นตอนแล้ว เมื่อไม่กี่เดือนมานี้เอง    แม้ว่าผมไม่สนใจมากนัก  แต่เชื่อว่านักลงทุนทั่วไปคงให้ความสำคัญพอสมควร   เนื่องจากหลังกระบวนการดังกล่าวสิ้นสุดลง    ข้อมูลทางการเงินของสยามโกลบอลเฮ้าส์  จึงดูดีอย่างทันตาเห็น

การเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจยิ่งกว่า  เริ่มต้นเมื่อปลายปีที่แล้ว(พฤศจิกายน 2555)  เมื่อมีการปรับโครงสร้างการบริหารครั้งสำคัญของสยามโกลบอลเฮ้าส์

–แต่งตั้งกรรมการใหม่ 3 คน (จากจำนวนทีมีอยู่ทั้งหมด10 คน) จากเอสจีจี คือ ขจรเดช แสงสุพรรณ อารีย์ ชวลิตชีวินกุล และนิธิ ภัทรโชค

–แต่งตั้ง นิธิ ภัทรโชค กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี โลจิสติกส์ แมเนจเม้นท์ จำกัด เป็นกรรมการบริหาร

–เพิ่มตำแหน่ง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านพัฒนาธุรกิจอีกตำแหน่งหนึ่งให้กับคนของเอสซีจี–นำพล มลิชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี แลนด์สเคป ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าเพื่อการตกแต่งภูมิทัศน์ ภายใต้แบรนด์ “แลนด์สเคป ตราช้าง”

กลุ่มบุคคลที่มาจากเอสซีจี ล้วนเป็นบุคคลสำคัญของธุรกิจที่เพิ่งมีการปรับโครงสร้างใหม่ครั้งสำคัญในรอบ 100 ปี (มีนาคม 2556) นั้นคือ การนำธุรกิจซีเมนต์ ธุรกิจผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และธุรกิจจัดจําหน่าย มารวมกันเป็นกลุ่มใหม่เรียกว่า ธุรกิจซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง

“การปรับโครงสร้างการบริหารงานโดยการรวมธุรกิจที่เกี่ยวของกับภาคการก่อสร้างครั้งนี้จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการดําเนินธุรกิจของ SCC เพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาสินคาและบริการเพื่อตอบสนองความตองการลูกค้า การพัฒนาเทคโนโลยีและการขยายธุรกิจไปในภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งเพื่อสนับสนุนการ เติบโตของธุรกิจในระยะยาว”คำแถลงของกานต์ ตระกูลฮุน ผู้จัดการใหญ่เอสซีจี ให้เหตุผลที่พอคาดเดาได้ ทั้งนี้เชื่อว่ายุทธศาสตรใหม่ข้างต้น ย่อมส่งกระทบมาถึงสยามโกลบอลเฮ้าส์ด้วยไม่มากก็น้อย

สิ่งที่น่าสนใจต่อจากนั้น   อ้างอิงจากการปรากฏขึ้นของงาน Global house Analyst conference Q1/2013April 25, 2013    ผมเข้าใจว่า เป็นรูปแบบใหม่ครั้งแรก ของสยามโกลบอลเฮ้าส์ ในการนำเสนอข้อมูลสำหรับนักลงทุน โดยมีรูปแบบเหมือนกับที่เอสซีจีนำเสนอมาเป็นประจำ   ในกรณีนี้ ผมไม่ให้ความสำคัญของตัวเลขทางการเงินมากนัก แต่สนใจแนวทางธุรกิจใหม่ๆที่นำเสนอในงานนี้

–สร้างความเข้มแข็งในตลาดภาคอีสาน ซึ่งเป็นตลาดหลักในปัจจุบัน ในขณะเดียวมุ่งขยายและสร้างความเป็นผู้นำทางธุรกิจเฉพาะภาคอีสานและภาคเหนือ

แนวทางใหม่ข้างต้น เชื่อว่าได้รับอิทธิพลมาจากยุทธศาสตรต์เอสซีจี   จากบทสรุปวิเคราะห์จุดแข็งของสยามโกลบอลเฮ้าส์  โดยกำหนดแผนการในการขยายเครือข่ายอย่างมียุทธศาสตร์ ที่มีโฟกัสมากขึ้น   เชื่อว่าก่อนหน้านั้นแนวทางเดิมของสยามโกลบอลเฮ้าส์  อาจมองกว้างๆทั่วประเทศ

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านลอจิสติกส์ ซึ่งมีความเป็นมาตั้งแต่ยุคจรัส ชูโต( ผู้จัดการใหญ่เอสซีจีที่เป็นคนไทยคนที่3)   แผนการใหม่ของสยามโกลบอลเฮาส์จึงเริ่มต้นขึ้นทันที ภายใต้การสนับสนุนของเอสซีจีอย่างเข็งขัน  คือสร้างศูนย์กระจายสินค้าแห่งสำคัญขึ้นริมถนนพลโยธิน อยุธยา ถือเป็นตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ในการขนส่งและกระจายสินค้าสู่เครือข่ายทั่วประเทศให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ผู้บริหารชุดใหม่ของสยามโกลบอลเฮ้าส์  มีส่วนผสมระหว่ากลุ่มของวิทูร สุริยวนากุล  และเอสซีจี  ได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน โดยพยายามเชื่อมโยงมุมมองทางธุรกิจในอนาคต กับแผนการที่ชัดเจน

หนึ่ง-การเติบโตของกิจการมาจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างชัดเจน ภาพใหญ่นี้ดูเป็นจริงเป็นจังพอสมควร  สอง-ความเข้มแข็งทางการเงินของสยามโกลบอลเฮ้าส์    จะทำให้แผนการขยายเครือข่ายดำเนินไปอย่างมีเป้าหมาย  ด้วยยุทธศาตร์เชิงรุกมากกว่าอดีต  จากเคยขยายสาขาได้ปีละไม่กี่แห่ง ไปสู่แผนการขยายสาขาปีละ 12-15 แห่ง  และสาม-พัฒนาสินค้าที่มีผลตอบแทนที่ดีขึ้น ทั้งการพัฒนาสินค้าตนเอง (house brands) การนำสินค้าจากแหล่งอื่น (sourcing) และระบบการดำเนินธุรกิจในขนาดที่เหมาะสม (economy of scale)

คนรวยหน้าใหม่  จะสามารถก้าวข้าม  ความมั่งคั่ง จากตัวเลขในตลาดหุ้น สู่”ของจริง”ได้หรือไม่ เป็นสิ่งที่น่าติดตาม

ประชาชาติธุรกิจ  19 กรกฎาคม 2555

ผู้เขียน: viratts

writer and farmer

ใส่ความเห็น

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Connecting to %s

%d bloggers like this: