
หากเปรียบเทียบกันแล้ว ตอนก้าวขึ้นตำแหน่งรัฐมนตรีคลังนั้น ธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ มีความมั่นใจมากกว่ากรณ์ จาติกวณิช มากนัก ถ้าเปรียบเทียบกับ ธารินทร์หรือแม้กระทั่ง ปิ่น จักกะพาก ดูเหมือนเขามีประสบการณ์ทำงานในธุรกิจคล้ายคลึงกันในต่างประเทศ เมื่อพิจารณาอย่างกว้างๆทั้งธารินทร์ และปิ่น มีมิติที่กว้างขวางกว่า แต่ในสาระสำคัญบางมุมมีความแตกต่างกันพอสมควร ผมเชื่อว่าอาจทำให้กรณ์ จาติกวณิช มีมุมมองและยุทธ์ศาสตร์ที่ยืดหยุ่น
ธารินทร์ทำงานด้านธนาคารอย่างต่อเนื่อง ในขณะนั้นธนาคารสหรัฐ กำลังพัฒนาระบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ประสบการณ์นี้ ธารินทร์สามารถนำมาเชื่อมต่อกับการพัฒนาธนาคารเก่าแก่ของไทยที่ล้าหลังได้อย่างดี
ส่วนปิ่น มีส่วนคล้ายธารินทร์พอสมควร ในฐานะนักเรียนอเมริกัน และทำงานในธนาคารอเมริกัน แต่เขามีประสบการณ์ในต่างประเทศมากกว่าทั้งธารินทร์ และกรณ์ ในChase Manhattan bank ประมาณ 7-8 ปี ที่สำคัญเขามีประสบการณ์ค่อนข้างกว้างขวางทั้ง credit analysis commercial account และ treasurer ก่อนจะมาพัฒนากิจการเงินทุนในประเทศไทย
แต่ ปิ่นอาจจะประเมินตนเองสูง และมีความผูกพันกับจินตนาการเกี่ยวกับธนาคารมากเกินไป เขาจึงสร้างและขยายอาณาจักรกิจการเงินทุนเป็นสำคัญ กิจการเหล่านี้ สำหรับเมืองไทย ถือเป็นสิ่งที่สามารถอ้างอิงกับอำนาจของระบบธนาคาร พาณิชย์ไทยได้ ปิ่นอาจจะมองวา ธนาคารเป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ เช่นเดียวกับผู้มาใหม่ ผู้พยายามคนอื่นๆ ในอดีต ที่เชื่อว่า ระบบธนาคาร คือศูนย์กลางอำนาจของระบบเศรษฐกิจของไทย บทเรียนในอดีตบอกเช่นนั้น เช่นเดียวกับในช่วงปี2522-4 ผู้มาใหม่รุ่นแรก ภายใต้การนำของ พร สิทธิอำนวย สร้างบริษัทเงินทุน เป็นสะพานเพื่อสร้างอาณาจักรธุรกิจที่ใหญ่โต แล้วล้มเหลว ก็เป็นบทเรียนอีกด้านหนึ่ง ว่าด้วย ธุรกิจเงินทุน ซึ่งเชื่อมโยงกับเงินฝากสาธารณะชน และเงินกู้จากระบบธนาคารนั้น มีกฎเกณฑ์ มีความ “อ่อนไหว”อย่างมาก
สำหรับ กรณ์ จาติกวณิช มีประสบการณ์เป็นการเฉพาะมากๆ กับ S.G. Warburg & Co ในฐานะกิจการที่เรียกว่า Investment banker ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ และเข้ากับสถานการณ์สำหรับเมืองไทยในช่วงตลาดหุ้นบูม และมีเงินจากต่างประเทศไหลเข้ามาในตอนที่เข้าเริ่มต้นทำงานพอดี
จะด้วยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม กรณ์ มองความสำเร็จของเขาเองอย่างสมดุล แรงบันดาลใจในฐานะผู้ประกอบเขาดูไม่สูงเท่า คนรุ่นก่อนๆ สิ่งนี้ผมก็ไม่แน่ใจ ว่า เป็นเพราะโอกาส หรือว่า เมื่อเผชิญและผ่านวิกฤติการณ์ปี2540 มาได้ จึงเข้าใจและตกผลึก อย่างไรก็ตามดูเขาจะถ่อมตัวเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยกล่าวว่าเป็นเรื่องของ “ดวง” และ”โชค”
ในช่วงธารินทร์ ขึ้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลัง ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปอย่างที่เขาดูจะควบคุมสถานการณ์ได้อย่างดี และมีความพร้อมอย่างเต็มที่
ในภาพรวมเศรษฐกิจไทยกำลังเติบโต ในฐานะประเทศที่น่าลงทุนแหล่งใหม่(Emerging market) ของโลกการเงิน
ในฐานะผู้บริหารธนาคารเก่าแก่ที่เชื่อมโยงกับสังคมวงใน ไม่เพียงฐานะของธนาคารพาณิชย์ในตอนนั้นเท่านั้น หากธนาคารแห่งนี้มีบุคคลเช่นว่านั้นอย่างเข้มข้นด้วย ยิ่งเมื่อเขาสร้างความสำเร็จในการพลิกโฉมหน้าธนาคารไทยพาณิชย์ขึ้นมาอยู่หัวขบวนได้ ก็ถือเป็นสิ่งได้รับการยอมรับอย่างแท้จริง
อีกมิติหนึ่งของสถานการณ์ในตอนนั้น ที่ควรยกขึ้นเป็นเรื่องที่สำคัญเรื่องหนึ่ง การกำเนิดของเครือข่ายมือผู้นำรุ่นใหม่ในรุ่นราวคราวเดียวกันกลุ่มหนึ่ง พวกเขาล้วนมีบทบาทอย่างมากในวงในสังคมการเงินทั้งในฐานะผู้บริหารธุรกิจและผู้กำกับดูแลระบบ
นี่คือโอกาสครั้งหนึ่งที่เปิดกว้างสำหรับคนอายุประมาณ 40 ปี เริ่มจากธารินทร์( เกิดปี 2488 ) ผู้จัดการใหญ่ธนาคารไทยพาพณิชย์ ชุม พล ณ ลำเลียง (2490 ) ผู้ช่วยผู้จัดการเครือซิเมนต์ไทย( แต่มีบทบาทในเชิงยุทธ์ศาสตร์มากกว่าผู้จัดการใหญ่) ในฐานะผู้บริหารมืออาชีพ หรือ ศุภชัย พาณิชศักดิ์(2489) เอกกมล คีรีวัฒน์ ( ( 2488 )ผู้อำนวยการ ฝ่ายที่มีบทต่อวงการเงินไทย ของธนาคารแห่งประเทศไทย ฯลฯ ในส่วนขอบๆของวงใน นั้น อาจจะต้องรวม ปิ่น จักกะพาก (2493 ) หรือ ทักษิณ ชินวัตร( 2492 ) ฯลฯ เข้าไปด้วย พวกเขาไม่เพียงมีบทบาทในฐานะผู้นำเท่านั้น ในหน้าหนังพิมพ์สื่อเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตเคียงคู่เศรษฐกิจเวลานั้น ก็อุทิศเนื้อที่กล่าวถึงบทบาทผู้คนเหล่านี้ในทางบวกอย่างมากมาย
ถ้าเทียบกับคนอื่นๆแล้ว ธารินทร์ อยู่ในฐานะใจกลางสังคมวงใน ที่มี Prestige มากกว่าใครๆก็ว่าได้
นอกจากนี้ยังครอบคลุมเครือข่ายต่างประเทศด้วย เขาก็มีประสบการณ์มากมาย ในการดีลกับนักลงทุนต่างประเทศ ตั้งแต่การเจรจา ปรับโครงหนี้ ในฐานะเจ้าหนี้ร่วมกับสถาบันการเงินตะวันตกหลายครั้ง หรือการเจรจาร่วมทุนกันธุรกิจญี่ปุ่น ที่พาเหรดเข้ามา ในฐานะตัวแทนของธนาคารและสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
กรณ์ จาติกวณิช เผชิญสถานการณ์ที่แตกต่างออกไป
ในฐานะรุ่นหลัง เขาได้มองเห็นและเรียนรู้ บทบาทรุนพี่ ซึ่งกำลังมีอิทธิพลในสังคมการเงิน ซึ่งเป็นศูนย์กลางสังคมเศรษฐกิจไทย ในช่วงที่เขาทำงานในเมืองไทยพักใหญ่ ในฐานะผู้เดินตาม เก็บเกี่ยวประสบการณ์ รวมทั้งการอ้างอิงระดับระดับหนึ่ง
โดยเฉพาะกับ ปิ่น จักกะพาก แห่งเอกธนกิจ เขาก็รักษาระยะพอสมควร ทั้งนี้อาจเป็นเพราะลักษณะเฉพาะทางธุรกิจของเขา และในฐานะ“สายสัมพันธ์”
ตระกูลจาติกวณิช มีบุคคลสำคัญรับราชการ หรือเป็นผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ แม้จะมีความสัมพันธ์กับตระกูลลำซำ (ผ่านเกษม จาติกวณิช)ก็ยังถือว่าไม่อยู่ในเครือข่ายธุรกิจเก่าแก่ ดังที่กล่าวมาแล้วในตอนที่ผ่านมา เช่นเดียวกับธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์ และวาณิชธนกิจ มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มเอกธนกิจพอสมควรทั้งถือหุ้นและเครือข่ายลูกค้า แต่ด้วยลักษณะธุรกิจที่ไม่เชื่อมโยงกับความเป็นสถาบันการเงิน ความเสี่ยงในด้านกฎ กติกาของรัฐ จึงไม่มาก
ที่สำคัญเนื้อแท้ของการเป็นผู้บริหารและถือหุ้นส่วนน้อยในกิจการ ย่อมทำให้กรณ์ได้เรียนรู้ความสมดุลในการทำงานในกิจการส่วนตัว ที่มิได้เชื่อมโยงหรือเข้าไปอยู่ในสังคมวงใน มิได้เชื่อมโยงกับสายสัมพันธ์ที่ทรงอิทธิพลโดยตรง ประสบการณ์ตรง ส่วนใหญ่เป็นประสบการณ์ในการบริหาร และการสร้างเครือข่ายธุรกิจตนเองขึ้นมาใหม่
สาระสำคัญของการบริหาร ในฐานะ Deal maker เกี่ยวข้องมากที่สุด คือ การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าสำคัญๆทั้งในและต่างประเทศ นี่คือหัวใจของประสบการณ์ของผู้บริหารคนหนึ่งที่อิงกับกลุ่มคน เครือข่ายวงกว้าง ในฐานะต้องมองผลประโยชน์ของทุกฝ่าย ในฐานะที่ไม่มีใครคอรบงำใครอย่างถาวร
ยิ่งเมื่อผ่านประสบการณ์ในวิกฤติการณ์ ท่ามกลางการล่มสลายของอาณาจักรของปิ่น จักกะพาก ความเสื่อมถอยของระบบธนาคารครอบครัว ซึ่งเคยเป็นฐานที่แข็งแรงที่สุด ทั้งกลุ่มที่มีความสัมพันธ์บางระดับกับตนเอง และกลุ่มอื่นๆ และความผันแปรของสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ การประเมินตนเองของกรณ์ จาติกวณิช จึงน่าจะเป็นการประเมินที่สมดุลมากขึ้น
เมื่อเข้าสู่วงการการเมือง และในฐานะรัฐมนตรีคลัง เขาจึงให้ความสำคัญกับ คุณค่าความสัมพันธ์กับบุคคลมากเป็นพิเศษ จากความสัมพันธ์กับกลุ่มบุคคลในแวดวงการเงินในช่วง15 ปีในการทำงาน ไปสู่ความสัมพันธ์กับบุคคลทางการเมือง หนังสือเรื่องเล่าของเขาพาดถึงบุคคลจำนวนมาก แม้แต่การเล่าเรื่องตนเอง ก็พยายามสะท้อนความเป็นตัวตน มากว่าระบบความคิดในเชิงสังคม
ต่อจากนั้นกรณ์ พยายามสร้างความสัมพันธ์เชิงคุณค่ากับบุคลลกว้างขึ้นอีก โดยให้ความสำคัญกับทั้ง Old media ตั้งแต่การผลิตหนังสือเล่าเรื่องตนอง มีความสัมพันธ์ที่ดีกับสื่อไทยและเทศ ไปจนถึงเขียนบทความในหนังสือพิมพ์ไทย อีกด้านหนึ่งเขาให้ความสำคัญ Social media มากทีเดียวด้วยการสร้าง website, blog, Hi5 และ Twitter เพื่อสื่อสาร โดยเฉพาะกับกลุ่มคนชั้นกลาง
จากนี้ไป กรณ์ จาติกวณิช ควรข้ามพรมแดนจากความสัมพันธ์กับบุคคล กลุ่มบุคคล สู่การเสนอระบบความคิดสะท้อนยุทธ์ศาสตร์ทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างชัดเจนมากขึ้น ถือเป็นก่ารยกระดับความเป็นผู้นำ จากให้ความสำคัญเฉพาะหน้ากับความสำเร็จของตนเอง ทั้งในฐานะนักธุรกิจ หรือนักการเมืองแบบเดิม สู่อุดมการณ์ทางสังคม ในฐานะผู้นำในอนาคต