ARCHIVE–Break the Ice หมอชัยยุทธ กับความในใจอันเจ็บปวด

BREAK THE ICE หมอชัยยุทธ กับ ปรัชญาชีวิต และความในใจอันเจ็บปวด

847 ถนนเพชรบุรี พระนคร วันที่ 11 ตุลาคม 2522

เอกลูกรัก

เมื่อตี 2 ของวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ.2490 ขณะที่พ่อได้เห็นเอกซึ่งเพิ่งคลอดจากครรภ์ของแม่เป็นครั้งแรก พ่อมีความรู้สึกว่าตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นมา ชีวิตของพ่อเป็นชีวิตที่สมบูรณ์และมีความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ ต่ออนาคตของวงศ์ตระกูลของเรา ความรู้สึกนี้ได้บันดาลให้เกิดพลังใจอย่างใหญ่หลวงให้กับตัวพ่อและทำให้พ่อมีความมานะบากบั่นที่จะทำงานทุกอย่างดีที่สุด ไม่เหน็ดเหนื่อยหรือเคยคิดท้อถอยต่ออุปสรรคใดๆเลย ในเวลาต่อมาซึ่เอกเจริญเติบโตขึ้นตามลำดับ ความประพฤติอันดี เป็นลูกที่ว่านอนสอนง่าย และความสำเร็จในการศึกษาของเอกนับแต่โรงเรียนอัสสัมชัญ และที่ Riverdale Country School แห่ง Bronx ณ มลรัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ตลอดจนที่ Worcester Polytechnic Institute ที่ Worcester, Boston เป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งของพ่อและแม่มาโดยตลอด และเมื่อเอกสำเร็จการศึกษากลับมาเริ่มงานในบริษัมอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด ในปี พ.ศ.2515 และต่อมาเอกได้ย้ายไปทำงานที่โรงงานของบริษัทเครื่องจักรกลสยาม จำกัด ที่บางปะอิน เอกก็พยายามปฏิบัติหน้าที่การงานอย่างทุ่มเทสุดตัวทั้งกายและใจ เอกได้พยายามทำหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมายในบริษัทเครื่องจักรกลสยาม จำกัด โดยได้เริ่มแต่เป็นวิศวกรรับผิดชอบในโรงหล่อ และได้ดำเนินงานเป็นผลดี มีหน้าที่รับผิดชอบมากขึ้นตามลำดับ จนได้รับหน้าที่เป็นผู้จัดการใหญ่ของบริษัทเครื่องจักรกลสยาม จำกัด ในปี พ.ศ.2519 และเอกได้ทำหน้าที่นี้อย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย และด้วยความพยายามอย่างยิ่งตลอดมาจนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต เมื่อ 9 เมษายน พ.ศ.2522

ในกาปฏิบัติงานของเอกที่โรงงานบางปะอินนี้ พ่อได้รู้และได้เห็นด้วยตนเองมาโดยตลอด ว่าเอกได้ทุ่มเทความคิด ความพยายาม ลงแรง และตั้งใจอย่างยิ่งที่จะแก้ปัญหานานาประการในการปลุกปั้นกิจการของโรงงานแห่งนี้ให้ลุล่วงไปในที่สุดให้จงได้ ซึ่งในหลายโอกาสด้วยกัน เมื่อเอกต้องประสบกับความผิดหวังอย่างมาก เพราะเนื่องจากขาดประสบการณ์ก็ดี หรือเนื่องจากขาดความร่วมมือจากผู้ร่วมงานบางคนก็ตาม เอกก็ไม่เคยปริปากบ่นออกมาแม้เพียงสักครั้งเดียว และในหลายต่อหลายโอกาส พ่อได้พบเอกกำลังทำงานจนเหงื่อท่วมตัว เพราะคนงานบางคนไม่ตั้งใจทำงานตามคำสั่ง เอกจึงเข้าไปทำงานแทนคนงานคนนั้นเอง เพื่อเป็นบทเรียนให้แก่เขา การปฏิบัติเช่นนี้ของเอกได้ผลเพราะสามารถทำให้คนงานที่ไม่ร่วมมือส่วนใหญ่กลับใจและหันมาร่วมมือ ยอมปฏิบัติหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมายด้วยดี

เอกคงจะจำได้ว่า ในบางครั้งพ่อก็ได้ถามเอกว่า หากคนงานคนใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งแล้วทำไมเอกจึงไม่สั่งลงโทษตามควร ซึ่งทุกครั้งคำตอบที่พ่อได้รับจากปากของเอกก็คือ “เอกเชื่อว่าทางที่ดีที่สุดก่อนจะสั่งลงโทษใครนั้น ตัวเอกเองจะต้องพิสูจน์ให้เขาเห็นเองก่อนว่า งานที่สั่งให้ทำนั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ และนอกจากนั้นแล้ว เอกเองก็ต้องทราบด้วยว่า งานนั้นยากลำบากแค่ไหนในกาปฏิบัติจริงๆ อีกด้วย”

พ่อเชื่อว่า เอกยังคงจำเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นในหลายต่หลายโอกาส ณ ที่โรงงานบางปะอินได้ นับแต่การที่เมื่อพ่อนั่งรถเลี้ยวเข้ามาในบริเวณโรงงาน ซึ่งทุกครั้งหากเอกเห็นรถของพ่อ เอกจะยิ้มอย่างดีใจ และรีบวิ่งเข้ามาไหว้พ่อทันที และหลังจากนั้นเอกก็จะพาพ่อเดินไปยังโรงหล่อ เพื่ออธิบายว่างานดำเนินไปอย่างไร? อุปสรรคที่เคยปรึกษากันในคราวที่แล้ว หรือที่เอกได้ทำรายงานแจ้งให้ทราบมาก่อนแล้วว่าสามารถแก้ไขให้เรียบร้อยไปได้หรือไม่? วิธีการแก้ทำอย่างใด? พ่อและเอกเดินปรึกษาและพิจารณาปัญหาต่างๆ ร่วมกันทีละจุดจนตลอดโรงงาน เมื่อเป็นที่ตกลงกันอย่างใดแล้ว เอกก็ได้เป็นผู้ที่ต้องพยายามดำเนินการให้ลุล่วงไป โอกาสเช่นนี้เป็นความสุขอย่างที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตของพ่อที่จะไม่เกิดขึ้นได้อีก พ่ออ่านจากสีหน้าและแววตาของเอกในขณะที่เราทั้งสองกำลังปรึกษา ไตร่ตรองและหาทางที่จะแก้ไขปัญหาเพื่อทำให้กิจการบริษัทเครื่องจักรกลสยาม จำกัด เลี้ยงตัวเองได้ และเจริญก้าวหน้าต่อไปในอนาคตให้เป็นหลักเป็นฐาน พ่อแน่ใจว่า เอกเองก็คงจะมีความรู้สึกเป็นสุขมีความพอใจและภาคภูมิใจเช่นกัน

ในช่วงเวลา 4 ปี นับตั้งแต่เอกเข้ารับหน้าที่เป็นผู้จัดการใหญ่ของบริษัทฯ พ่อเชื่อว่าเอกคงจะจำได้ดีกว่าพ่อถึงบรรดาอุปสรรคต่างๆ ที่เอกต้องพยายามแก้ไขทีละขั้นทีละตอนมานับตั้งแต่บริษัทฯ ต้องประสบการขาดทุนปีละนับล้านๆ บาท จนการขาดทุนนั้นค่อยๆ ลดลงเป็นลำดับ จนเมื่อประมาณปลายปี พ.ศ.2521 กิจการของบริษัทฯ ก็ค่อยก้าวหน้าขึ้น เพราะตลาดเริ่มจะยอมรับผลิตภัณฑ์ที่บริษัทฯ ผลิตขึ้นพร้อมๆ กับที่บริษัทฯ สามารถเพิ่มผลผลิตต่อเดือนได้มากขึ้น และลดอัตราของเสียให้น้อยลงได้ตามลำดับ และเมื่อรายรับรายจ่ายของบริษัทฯ เริ่มสมดุลเป็นเดือนแรกในเดือนตุลาคม พ.ศ.2521 นั้น ขณะที่พ่อและเอกนั่งประชุมพิจารณาผลงานประจำเดือนอยู่ด้วยกันนั้น พ่อได้เห็นยิ้มอย่างสมหวังและภาคภูมิเป็นครั้งแรกจากใบหน้าของเอก ณ โรงงานบางปะอิน และในโอกาสนั้น เอกได้พูดกับพ่อว่า “พ่อครับปัญหาของเอกต่อไปนี้ ก็คือทำอย่างไรที่จะให้สถานการณ์ของโรงงานที่เริ่มก้าวถูกทางแล้ว ก้าวหน้าต่อไปได้โดยไม่ชะงักหรือกลับถอยหลังเข้าคลอง” ซึ่งพ่อก็ได้ตอบว่า “เอก อย่าเป็นห่วงเลยเมื่อเอกสามารถเอาชนะอุปสรรคเป็นครั้งแรกแล้ว ซึ่งอย่างกับที่พูดกันว่า “Break the ice” ได้สำเร็จครั้งหนึ่งแล้ว การที่จะทำได้อีกในครั้งต่อๆ ไปจะง่ายขึ้น”

เวลาได้ผ่านไปจนถึงเมื่อบ่ายวันเสาร์ที่ 31 มีนาคม 2522 ซึ่งเป็นโอกาสครั้งสุดท้าย ที่พ่อมาหาเอกที่โรงงานบางปะอินเพื่อประชุมพิจารณาผลงานประจำเดือนร่วมกันตามปกติ ในการประชุมครั้งนี้เอกมีสีหน้าเบิกบาน และเมื่อเห็นพ่อมา เอกก็รีบวิ่งมาหาเช่นเคย และพูดกับพ่อว่า “พ่อครับ เดือนนี้เอกจัดทำรายงานผลงานเป็นกรณีพิเศษครับ เพราะเป็นช่วงจบ 3 เดือนแรกของปี (1st quarter) เอกได้เร่งส่งของและทำงบทดลองจนถึงสิ้นเดือนมีนาคมเสร็จแล้ว ผลปรากฏว่า บริษัทฯ พอจะมีกำไรเหลือประมาณ 800,000 บาท สำหรับงวดนี้ พ่อครับเงินจำนวนนี้เมื่อคิดเทียบกับจำนวนเงินที่เราขาดทุนไปนับแต่ต้นมาแล้วก็ยังน้อยมาก แต่เอกคิดว่าพอจะมีทางที่จะทำให้มากขึ้นจนคุ้มได้ในไม่เกิน 3-4 ปี จากนี้แล้วครับ” พ่อเชื่อว่าเอกคงจะจำได้ว่าภายหลังที่เอกและพ่อได้พิจารณารายละเอียดร่วมกันแล้ว พ่อก็พูดกับเอกว่า “เอก พ่อเองก็ดีใจเหลือเกินที่เอกพยายามอดทนอุตส่าห์ฟันฝ่าอุปสรรคนานาประการ เพื่อก่อร่างสร้างฐานะของบริษัทฯ นี้มาจนเข้าปีที่ 7 และเป็นผลให้ break even แล้ว พ่ออยากจะพูดว่าเอกเปรียบเหมือนคนที่เดินเข้าถ้ำมืด และลึกโดยไม่รู้จักทางมาก่อน และแสงไฟที่พอจะช่วยส่องนำทางก็ริบหรี่เต็มที เอกต้องหกล้มหกลุกคลุกคลานบอบช้ำมาตลอดเวลายาวนาน แต่ในขณะนี้เอกพอจะเห็นแสงจากปากถ้ำฝั่งตรงข้ามแล้ว ต่อไปเอกคงจะไม่ต้องลำบากมากอย่างที่แล้วๆ มาอีกนะลูก” พ่อยังจำใบหน้าที่ยิ้มระรื่นด้วยความสุขใจ แววตาอันฉายแสงแห่งความสำเร็จของเอกติดตาอยู่เสมอ

เวลาล่วงจากขณะนั้นมาเพียง 9 วัน ความไม่เที่ยงอันเป็นปกติวิสัยของโลกมนุษย์ก็เป็นเหตุให้เอกต้องจากโลกนี้ไปโดยฉับพลัน ซึ่งเหตุการณ์นี้ สำหรับพ่อ แม่ ปรียา และญาติมิตร ของเอกทุกๆ คนนั้นเปรียบเสมือนหนึ่งถูกสายฟ้าฟาด ตัวพ่อเอง ในขณะที่กำลังชำระล้างศพของเอกอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ เมื่อคืนวันจันทร์ที่ 9 เมษายน 2522 สมองของพ่อไม่ยอมรับความจริงว่ามือทั้งสองข้างของพ่อที่กำลังชำระล้างศพของเอกอยู่นั้นกำลังจับศพของเอกอยู่ แต่ยังเป็นเอกลูกรักของพ่อซึ่งมีชีวิตอยู่ หรือพร้อมที่จะกลับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาในวินาทีใดก็ได้ และในขณะเดียวกันอีกใจหนึ่งก็พยายามที่จะคิดและเชื่อว่าพ่อกำลังอยู่ในฝันร้าย และอีกชั่วขณะจิตต่อไปก็อยากจะขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกจงกรุณาช่วยดลบันดาลให้พ่อเป็นผู้รับเคราะห์แทนเอกเถิด…ฯลฯ

ก่อนจะจบจดหมายถึงเอกฉบับนี้ พ่อขอถือโอกาสบอกกับเอกว่า ในงานรดน้ำศพเมื่อเย็นวันที่ 10 เมษายน พ.ศ.2522 ที่ศาลาแม่นายริ้ว ณ วัดธาตุทองนั้น บรรดาผู้ร่วมงานของเอกจากโรงงานที่บางปะอิน ทุกคนมีน้ำตานองหน้า และทุกๆ คนตั้งใจมาไว้อาลัยและระลึกถึงความดีของเอกที่มีต่อเขาทั้งหลายอย่างจริงใจที่สุด พ่อเองเมื่อได้เห็นสีหน้าและแววตาของพวกเขาแล้ว ถึงแม้ว่าพ่อเองในขณะนั้น สมองของพ่อเกือบจะอยู่ในสภาพที่ตายด้าน พ่อก็ยังพอจะอ่านออกว่าผู้ร่วมงานของเอกรักน้ำใจและความดีของเอกที่มีต่อตัวเขาอย่างจริงใจ และข้อนี้เองที่ทำให้พ่อเชื่อว่าวิญญาณของเอกในขณะนี้อยู่ในสรวงสวรรค์อย่างแน่นอน และนอกจากนั้นในเรื่องที่เกี่ยวกับโรงงานของบริษัทเครื่องกลสยาม จำกัด ที่บางปะอิน ในขณะนี้กิจการก็ดำเนินไปได้ด้วยดี เป็นที่หวังและเชื่อได้ว่า พืชที่เอกได้พยายามปลูกฝังไว้ จะเจริญเติบโตต่อไปและนอกจากนั้นแล้วพ่อเองตราบใดที่ชีวิตยังอยู่ก็จะพยายามโดยทุกวิถีทาง ให้โรงงานแห่งนี้เจริญก้าวหน้าและตกทอดเป็นกรรมสิทธิ์ของปิยะชัยและชไมมาส ลูกทั้งสองของเอกในอนาคตอันใกล้ให้จงได้

สุดท้ายนี้ พ่อขอให้เอกจงอย่าได้เป็นห่วง และจงประสบแต่ความสุขชั่วนิจนิรันดร์ และพ่อหวังว่าคงอีกไม่นานเกินรอก่อนที่พ่อจะได้มาพบเอกและร่วมคิดอ่านสร้างสรรค์ในสิ่งที่สุจริตเช่นที่แล้วมาอีก

รักและคิดถึงเสมอ จาก พ่อ

(จากหนังสืองานศพ เอกชัย กรรณสูต)

นิตยสารผู้จัดการ  มิถุนายน 2529

ผู้เขียน: viratts

writer and farmer

ใส่ความเห็น

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Twitter picture

You are commenting using your Twitter account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Connecting to %s

%d bloggers like this: