เรื่องราว 7-Eleven กับ Makro มีความสัมพันธ์กับยุทธศาสตร์ธุรกิจใหม่ของซีพี ทั้งจุดเริ่มต้น ความผันแปร ลงหลักปักฐาน มาจนถึงยุคหลอมรวมผนึกพลังครั้งใหญ่ ถือเป็นกระบวนการเรียนรู้และปรับตัว กว่า 2 ทศวรรษที่ผ่านมา
ทศวรรษแรก
“บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2531 โดยบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ เพื่อให้เป็นบริษัทของคนไทยที่ประกอบธุรกิจหลักด้านค้าปลีกประเภทร้านค้าสะดวกซื้อในประเทศไทยภายใต้เครื่องหมายการค้า “7-Eleven” โดยบริษัทได้รับสิทธิการใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวจาก 7-Eleven, Inc. สหรัฐอเมริกา และได้เปิดร้านสาขาแรกที่ซอยพัฒน์พงษ์ เมื่อปี 2532” ประวัติศาสตร์การเกิดขึ้นครั้งแรกของธุรกิจค้าปลีกของซีพี (จาก http://www.cpall.co.th )
ในช่วงนั้นถือเป็นช่วงทศวรรษแห่งความรุ่งโรจน์ของซีพี ในยุคทศวรรษแรกของผู้นำคนใหม่-ธนินทร์ เจียรวนนท์ (เขาดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการในปี 2522) ด้วยการบุกเบิกธุรกิจทั้งในประเทศและภูมิภาค โดยเฉพาะจีนแผ่นดินใหญ่
จากนั้นซีพีขยายตัวครั้งใหญ่ ด้วยยุทธศาสตร์การนำบริษัทเข้าตลาดหุ้นในภูมิภาค เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ภูมิภาคเอเชีย เป็นตลาดเกิดใหม่ กำลังเติบโตในสายตาของนักลงทุนตะวันตก ซีพีเริ่มต้นนำบริษัทเข้าตลาดหุ้นไต้หวัน(2530) และฮ่องกง (2531) นับเป็นจังหวะที่มาพร้อมกับโอกาสอย่างมากมายในประเทศไทย การร่วมทุนกับหุ้นส่วนระดับโลก เริ่มต้นธุรกิจใหม่ๆ ในปีเดียวกันที่ตั้งต้นธุรกิจ 7-Eleven และ Makro ซีพีก็ได้เข้าสู่อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ ด้วยการร่วมทุนกับ Solvay (Belgium)
ปี2532 เครือซีพีปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อตอบสนองแผนการขยายตัวครั้งใหญ่ ขณะเดียวกัน ธนินทร์ เจียรวนนท์ ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร ถือกันว่าเขากลายเป็นผู้นำที่ได้รับการยอมรับอย่างแท้จริง เพียงปีเดียวต่อจากนั้น ซีพีทุ่มทุนครั้งใหญ่ สู่ธุรกิจใหม่ด้วยความคาดหวังอย่างสูง–ร่วมทุนกับ Bell Atlantic ธุรกิจยักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯเริ่มต้นธุรกิจสื่อสาร
ส่วนการร่วมทุนกับ SHV Holdings แห่งเนเธอร์แลนด์ การดำเนินไปอย่างราบเรียบ พร้อมๆกับการเริ่มเครือข่ายร้าน 7-Eleven ดูเผินๆทั้งสองธุรกิจแตกต่างกัน แต่มีบางอย่างร่วมกัน ว่ากันว่าเป็นยุทธศาสตร์คู่ขนานของธุรกิจใหม่
โดย Makro มีบทบาทอย่างน่าสนใจในฐานะธุรกิจประเภท Hypermarket รายแรกของเมืองไทย ในเวลาต่อมาไม่นาน สยามแมคโคร เข้าตลาดหุ้น(ปี 2537) ในช่วงตลาดหุ้นบูม ถือว่าเป็นจังหวะที่ดีในการระดมทุน ในทันที่ ซีพีได้เริ่มต้นเริ่มต้นธุรกิจใหม่ของตนเองขึ้นมา
ห้างโลตัส ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ก่อตั้งขึ้นในปี 2537 ถือว่าเป็นธุรกิจในรูปแบบ Hypermarket เช่นเดียวกัน นั่นคือจุดเริ่มต้นของประวัติเครือข่ายร้าน Tesco Lotus ผู้นำตลาด Hypermarket ในประเทศไทยปัจจุบัน
ทศวรรษที่สอง
–ครึ่งแรก เผชิญวิกฤตการณ์
“เนื่องจากวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ “เทสโก้ โลตัส” จึงได้ถือกำเนิดขึ้น ด้วยการร่วมลงทุนระหว่างกลุ่มเทสโก้ ประเทศ อังกฤษ และกลุ่มซีพี ซึ่งนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 เป็นต้นมา เทสโก้ โลตัส ได้มีส่วนสำคัญในการช่วยเหลือพัฒนาเศรษฐกิจไทย ด้วยเงินลงทุนเพื่อการก่อสร้างและดำเนินธุรกิจมากกว่า 100,000 ล้านบท”ข้อมูลของ Tesco Lotus กล่าวถึงจุดเริ่มต้นเข้ามาเมืองไทยของเครือข่าย Hypermarket ของสหราชอาณาจักร– Tesco(http://www.tescolotus.com ) เป็นที่เข้าใจว่าเวลานั้น ซีพีได้ตัดสินใจขายหุ้นส่วนใหญ่ที่ถืออยู่ในโลตัส ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ให้กับ Tesco UK
ท่ามกลางวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจไทยครั้งใหญ่ ซีพี ต้องปรับยุทธศาสตร์ธุรกิจครั้งสำคัญอีกครั้งที่แตกต่างจากเมื่อทศวรรษก่อน ด้วยความพยายามรักษาธุรกิจสำคัญไว้ โดยเฉพาะ สื่อสาร และธุรกิจดั้งเดิม—อาหาร จำเป็นต้องออกจากธุรกิจไม่มีความรู้และประสบการณ์โดยตรง นอกจากขายหุ้นโลตัส ซูเปอร์เซ็นเตอร์ แล้วจำต้องขายหุ้นส่วนใหญ่ในสยามแมคโครออกไปให้ SHV Holdings ด้วย
–ครึ่งหลัง โอกาสใหม่
ขณะที่การปรับโครงสร้างธุรกิจหลักดำเนินไป —ยุทธ์ศาสตร์ของธุรกิจอาหาร(ซีพีเอฟ )ชัดเจนขึ้นตั้งแต่ปี 2545 หนึ่ง-ขยายเครือข่ายไปต่างประเทศ ด้วยการจัดรวมโครงสร้างธุรกิจเดิมของกลุ่มซีพีในต่างประเทศ รวมทั้งขยายเครือข่ายการผลิต และการตลาดให้กว้างขึ้นอีก จากจีนแผ่นดินใหญ่ ตุรกี อินเดีย รัสเซีย ลาว ฟิลิปปนส์ ใต้หวัน มาเลเซีย เวียดนามและกัมพูชา สอง-การผลิตสินค้าสำเร็จรูปมากขึ้น พร้อมกับการสร้างแบรนด์ และสร้างเครือข่ายการตลาด
ว่ากันว่าซีพีให้ความสำคัญกับธุรกิจสื่อสารเป็นพิเศษ แม้ยามวิกฤติก็แสวงหาโอกาสเข้าซื้อกิจการเพื่อควบรวมกิจการเคเบิ้ลทีวี(2540) เข้าซื้อใบอนุญาตสื่อสารไร้สาย และร่วมทุนกับ OrangeS.A.UK เริ่มต้นธุรกิจสื่อสารไร้สาย (2544) ปี2547 ภาพยุทธ์ศาสตร์ธุรกิจสื่อสาร (True) กระจ่างขึ้น เมื่อผู้ร่วมทุนต่างชาติถอนตัว และปรับโครงสร้างหนี้ ถือเป็นการเริ่มต้นกลุ่มธุรกิจสื่อสารครบวงจรอย่างแท้จริง
เมื่อซีพีกลับมามอง 7-Eleven อีกครั้ง ภาพใหม่และโอกาสใหม่ปรากฏขึ้น
ปี.2545 7-Eleven เปิดร้านครบ 2,000 สาขา ถือเป็นพัฒนาการอย่างก้าวกระโดด จากทศวรรษแรก 7-Elevenมีเครือข่ายร้านครบ 1000 สาขา แต่จากนั้นใช้เวลาเพียงครึ่งเดียว (5ปี) ก็เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว ส่วนหนึ่งมาจากการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ ด้วยการร่วมมือกับบริษัท ปตท. เปิดให้บริการ 7-Eleven ในสถานีบริการน้ำมัน เป็นปรากฏการณ์อันน่าทึ่งของการเติบโตทั้ง ธุรกิจร้านสะดวกซื้อ และธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน
“ต่อมาในวันที่ 20 สิงหาคม 2546 7-Eleven, Inc. ได้เข้าทำสัญญาให้ความยินยอม ซึ่งเป็นสัญญาที่ทำขึ้นระหว่างบริษัทและบริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด (“CPG”) กับ 7-Eleven, Inc. โดย 7-Eleven, Inc. ได้ตกลงให้ความยินยอมต่อการเสนอขายหุ้นต่อประชาชน รวมถึงการนำหุ้นเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ” (http://www.cpall.co.th) นั่นคือแผนการใหม่ ตอบสนองการเติบโตก้าวกระโดดอีกขึ้น ของธุรกิจที่เริ่มต้นอย่างเงียบๆ แต่ไม่มีคู่แข่ง โดยใช้เวลาเติบโตถึง 15 ปี
แต่จากนี้ไป กลายเป็นธุรกิจที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษแล้ว ทั้งจากซีพีและแวดวงธุรกิจ การเติบโตดำเนินต่อไป 7-Eleven ใช้เวลาอีกเพียง 3 ปี เพิ่มเครือข่ายร้านค้าจาก 2,000 ร้านเป็น 3,000 ร้าน (2548)
ก้าวสู่ทศวรรษที่สาม
ปี2550เป็นปีทีมีความหมายเป็นพิเศษสำหรับ 7-Eleven เริ่มต้นจากการเปลี่ยนชื่อบริษัท เดิมจาก–ซี.พี. เซเว่นอีเลฟเว่น จำกัด เป็น ซีพี ออลล์ ไม่เพียงเครือซีพีให้ความสำคัญ ยกฐานะเป็นกลุ่มธุรกิจหลัก หนึ่งในสาม และธนินท์ เจียรวนนท์ ได้เข้ามาเป็นประธานบริษัทเท่านั้น หากเชื่อกันต่อไปว่า ยุทธศาสตร์ธุรกิจ จะมีจินตนาการกว้างขวางกว่าเดิม ในปีเดียวกันนั้นเอง ซีพี ออลล์ ได้จัดตั้งสถาบันเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ สถาบันฝึกอบรมบุคคลากรเข้าสู่ธุรกิจใหม่ ซึ่งมองว่าจะเติบโตอ่างต่อเนื่องต่อไปอีก
ปี 2556 “ซีพี ออลล์” เตรียมพร้อมรับ AEC ซื้อกิจการ “แม็คโคร” หวังใช้เป็นช่องทางนำสินค้าSMEs และสินค้าเกษตรไทยลุยตลาดอาเซียน (http://www.cpall.co.th 23 เมษายน 2556) หัวข้อข่าวจากต้นแหล่งที่สั่นสะเทือนสังคมธุรกิจ และจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญทางธุรกิจของซีพี
“ซีพี ออลล์ ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น ประกาศความพร้อมเตรียมรับมือการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community) หรือเออีซีซึ่งจะเกิดขึ้นในปี 2558 ที่จะถึงนี้ ด้วยการลงทุนครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของบริษัท ซื้อกิจการบริษัท สยามแม็คโคร ผู้นำในธุรกิจศูนย์จำหน่ายสินค้าระบบสมาชิกแบบชำระเงินสดและบริการตนเองในประเทศไทยด้วยมูลค่าประมาณ 188,880 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นช่องทางนำสินค้าจากประเทศไทยโดยเฉพาะสินค้าจากผู้ผลิตขนาดเล็กและขนาดกลางหรือ SMEs และสินค้าผลิตผลทางการเกษตรของไทย รวมถึงสินค้าประเภทอาหารแช่แข็งและอาหารสด เช่น เนื้อสัตว์ ฯลฯ ไปจำหน่ายในประเทศกลุ่มอาเซียน” นี่คือคำอธิบายอย่างกระทัดรัดของ ซีพี ออลล์
ผมติดว่า ควรมีความหมาย มากกว่านั้น