นิตยสารรายสัปดาห์ US NEWS AND WORL REPORTได้ทำเรื่องจากปก กล่าวถึงโรงเรียนประจำในสหรัฐอย่างน่าสนใจ ซึ่งนานมาแล้วที่สื่อมวลชนสหรัฐเคยทำ ทั้งนี้มาจากผู้ท้าชิงประธานาธิบดีสหรัฐครั้งล่าสุดล้วนมาจากโรงเรียนประจำ(Outstanding Boarding Schools : A guide to finding a great education away from home , May,14 2001) นิตยสารฉบับนี้รายงานการปรับตัวของโรงเรียนประจำไว้อย่างน่าสนใจ
เดี๋ยวนี้ ไม่ว่าจะเป็นเด็กที่มาจากครอบครัวที่มีฐานะทางสังคมและเศรษฐกิจเป็นอย่างไร หรือมีเชื้อชาติอะไร ก็มีโอกาสที่จะได้รับการศึกษาที่ดีที่สุดเท่าที่เงินจะซื้อได้ เด็กอเมริกันไม่น้อยกว่า 15 ล้านคนเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมของรัฐฯ 640,000 คนเข้าโรงเรียนที่อุปถัมภ์โดยศาสนา อีกกว่า 150,000 คนอยู่ในโรงเรียนเอกชน และ 42,500 คนเลือกที่จะเรียนในโรงเรียนประจำ
คำถามคือ ในโรงเรียน 4 แบบนี้ แบบไหนบ้างที่ผลิตผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯทั้ง 4 คนเมื่อ
ครั้งที่แล้ว คำตอบคือ ประธานาธิบดี Bush เรียนที่โรงเรียนประจำชื่อ Andover ในเวลาใกล้ ๆ กันนั้น Steve Forbes อยู่ห่างไปเพียง 4 ไมล์ในโรงเรียนประจำชื่อ Brooks ส่วน Al Gore เรียนอยู่เกรด 12 และอาศัยอยู่ในหอพักนักเรียนของ St. Albans ในวอชิงตัน 10 ปีก่อนหน้านั้น John McCain เพิ่งเรียนจบมัธยมปลายจากโรงเรียนประจำชื่อ Episcopal ซึ่งตั้งอยู่ในรัฐ Virginia Bush เป็นนักเรียนเกรด 10 วัย 15 ปีเมื่อย้ายมาจาก Texas เขารู้ตัวดีว่า เรียนเก่งสู้เพื่อนใหม่ร่วมห้องส่วนใหญ่ไม่ได้ จนตอนแรก ๆ เขากลัวจะถูกไล่ออกมาก Bush ไม่เคยเป็นนักเรียนดีเด่น เขาเป็นแค่เด็กที่ปานกลางไปเสียทุกอย่างไม่ว่าจะด้านการเรียนหรือกิจกรรม เขาอยู่ในทีมบาสเก็ตบอลและเบสบอลของโรงเรียนแต่ไม่เคยเป็นดาวเด่น อย่างไรก็ตาม Bush ก็เป็นที่รู้จักอยู่ไม่น้อยใน Andover ในฐานะเด็กที่มีนิสัยไม่ค่อยจะรับผิดชอบ เชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไป และหลงใหลแสงสี เขาเป็นสมาชิกคนหนึ่งในวงร็อคแอนด์โรลประจำห้อง แต่ไม่ได้เป็นทั้งนักร้องและนักดนตรี แค่ไปยืนตบมือเท่านั้น Bush ยังเคยเป็นประธานในการจัดการแข่งขันกีฬา Stickball ซึ่งเปิดโอกาสให้แม้แต่เด็กที่ชอบทำกิจกรรมน้อยที่สุดก็เข้าร่วมได้ “Andover เป็นประสบการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตผม” Bush เคยกล่าวไว้
เป็นเวลามากกว่า 200 ปีมาแล้ว ที่โรงเรียนประจำในสหรัฐฯเป็นโรงเรียนที่มีลักษณะเฉพาะตัวแตกต่างไปจากโรงเรียนประเภทอื่น ๆ ไม่เพียงเพราะการที่เด็ก ๆ ต้องออกจากบ้านตั้งแต่อายุ 14 หรือ 15 เพื่อมากินนอนประจำอยู่ในโรงเรียน แต่ยังเป็นเพราะเด็กนักเรียนเหล่านี้มาจากทุกภาคส่วนของประเทศ ไม่ใช่เด็กที่มีบ้านอยู่ใกล้โรงเรียนอย่างโรงเรียนแบบโรงเรียนไปกลับของรัฐหรือของเอกชนโดยทั่ว ๆ ไป ศิษย์เก่าโรงเรียนประจำหลายคนยังคงหวนรำลึกถึงวันเก่า ๆ ด้วยน้ำตาคลอเบ้า ในขณะที่อีกหลาย ๆ คนกลับเกลียดทุกนาทีในโรงเรียนประจำ อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครปฏิเสธถึงความเข้มข้นของประสบการณ์ที่ได้รับจากการเรียนในโรงเรียนประจำ ซึ่งได้กลายเป็นประสบการณ์ที่ฝังติดอยู่ในความทรงจำไปตลอดชีวิต McCain เคยกล่าวว่า กฎของโรงเรียนประจำที่ใช้ควบคุมความประพฤติของนักเรียน คือสิ่งที่เขาเองพยายามที่จะนำมาใช้กับชีวิตของตัวเองมาตลอด
จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา โรงเรียนประจำคือโรงเรียนที่รับใช้ชนชั้นผู้ดีเก่า โรงเรียนประจำชั้นนำส่วนใหญ่จะรับแต่นักเรียนชายผิวขาวชาติตระกูลดีที่มาจากครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวยเท่านั้น ส่วนน้อยจะรับแต่เด็กหญิงที่มาจากครอบครัวสูงเช่นกัน เมื่อชนชั้นผู้ดีเก่าล่มสลายไปตามกาลเวลา บรรดาโรงเรียนประจำเหล่านี้จึงต้องดิ้นรนปรับตัวขนานใหญ่ เพื่อให้อยู่รอดได้ต่อไปในโลกที่เปลี่ยนไปให้คุณค่ากับความเท่าเทียมทางเพศ การไม่เลือกชั้นวรรณะ และตัดสินคนด้วยความดีมิใช่ชาติกำเนิด
ในช่วงทศวรรษ 1970 ถึง 1980 โรงเรียนประจำต้องเผชิญกับวิกฤตเอกลักษณ์อันหนักหน่วง ทั้งยังต้องเผชิญการแข่งขันจากโรงเรียนไปกลับของเอกชน ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในขณะนั้น ในฐานะที่เป็นทางเลือกใหม่ โรงเรียนไปกลับเหล่านี้มีนักเรียนสมัครเข้าเรียนเพิ่มขึ้นถึง 20%ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ทำให้จำนวนนักเรียนในโรงเรียนแบบไปกลับมีสัดส่วนมากกว่านักเรียนประจำถึง 4 ต่อ 1 อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น จำนวนโรงเรียนประจำยังคงที่อยู่ไม่ต่ำกว่า 240 แห่ง และจำนวนนักเรียนก็เพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย โรงเรียนประจำชั้นนำ ที่แม้จะเก็บค่าเล่าเรียนแพงถึง 25,000 ดอลลาร์หรือสูงกว่านั้น ได้รับใบสมัครมากกว่าที่เคย และพิถีพิถันในการคัดเลือกนักเรียนไม่แพ้มหาวิทยาลัยศิลปศาสตร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในระดับชาติเลย โรงเรียนประจำประสบความสำเร็จเพราะมีหลักสูตรการเรียนการสอนที่เข้มข้น มีอาคารเรียนและอุปกรณ์การเรียนอันยอดเยี่ยม มีการรับนักเรียนที่มีภูมิหลังหลากหลาย และมีการให้เงินอุดหนุนค่าเล่าเรียนมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากโรงเรียนประจำชั้นนำทั้ง 7 ที่เรียกว่า Group of Seven ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ Phillips Academy(Andover) (โรงเรียนประจำที่เก่าแก่ที่สุด ก่อตั้งในปี 1778) Choate Rosemary Hall (1890) Deerfield (1797) Philipps Exeter (1781) Hotchkiss (1891) Lawrenceville (1810) และ St. Paul’s (1856) ได้รับใบสมัครจากนักเรียนสำหรับปีการศึกษาที่เริ่มเรียนไปเมื่อฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นถึง 17% จากช่วง 20 ปีที่ผ่านมา แต่อัตราการการรับนักเรียนเข้าเรียนกลับลดต่ำลงจาก 35% เหลือ 29% ซึ่งแสดงว่า โรงเรียนพิถีพิถันในการคัดเลือกนักเรียนมากกว่ามหาวิทยาลัยศิลปศาสตร์ชั้นนำของประเทศ ที่มีอยู่ทั้งหมดประมาณ 5-6 แห่งเสียอีก
เงินบริจาคต่อนักเรียนหนึ่งคนที่ 6 ใน 7 โรงเรียนประจำชั้นนำข้างต้นได้รับยังสูงกว่าที่มหาวิทยาลัยชั้นนำใน Ivy League เช่น Penn, Brown และ Cornell ได้รับเสียอีก และ 5 ใน 7 โรงเรียนก็ได้รับเงินบริจาคต่อนักเรียนหนึ่งคนมากกว่าที่มหาวิทยาลัยในกลุ่ม Little Three ได้แก่ Amherst, Williams และ Wesleyan ได้รับ เงินบริจาคจำนวนมหาศาลที่ทั้ง 7 โรงเรียนได้รับทำให้สามารถให้เงินอุดหนุนค่าเล่าเรียนแก่นักเรียนได้ถึง 1 ใน 3 ของนักเรียนทั้งหมด (เพิ่มขึ้น 6% จากช่วง 12 ปีที่ผ่านมา) เงินอุดหนุนค่าเล่าเรียนที่นักเรียนแต่ละคนได้รับนี้คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 71.4% ของค่าเล่าเรียนทั้งหมดที่นักเรียนจะต้องจ่าย ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น 5% จากช่วง 12 ปีที่ผ่านมา
การที่โรงเรียนชั้นนำอย่าง St. Andrew’s , Deerfield และ St. Paul’s กำหนดระเบียบการรับนักเรียนไว้อย่างเป็นทางการว่า จะรับนักเรียนโดยไม่สนใจฐานะทางครอบครัวของเด็ก และยังมีโรงเรียนประจำอีกหลายแห่งที่แม้จะไม่ได้ประกาศระเบียบดังกล่าวออกมาอย่างเป็นทางการเหมือน 3 โรงเรียนข้างต้น แต่ได้นำมาใช้ในทางปฏิบัติอย่างจริงจัง แถมบางโรงเรียนยังให้เงินอุดหนุนค่าเล่าเรียนมากกว่าโรงเรียนดัง ๆ เสียอีก นอกจากจะได้รับประโยชน์ในเรื่องการได้รับเงินบริจาคสูงแล้ว โรงเรียนประจำยังได้รับประโยชน์จากสภาพชีวิตครอบครัวที่เปลี่ยนไป ทุกวันนี้ครอบครัวคนอเมริกันอยู่ในสภาวะเครียดมากขึ้น เพราะการหย่าร้างหรือเพราะพ่อแม่ทำงานทั้งคู่จนไม่เวลาให้ลูก โรงเรียนประจำจึงก้าวเข้ามาอุดช่องว่างภายในครอบครัวนี้ โดยการดูแลเด็กอย่างใกล้ชิดแทนพ่อแม่ และจัดกิจกรรมนอกหลักสูตรที่ทำให้เด็กได้มีประสบการณ์นอกห้องเรียนที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิต สาธุคุณ D. Stuart Dunnan อาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนประจำ St. James ในมลรัฐ Maryland กล่าวว่า พ่อแม่ของเด็กนักเรียนจำนวนมากบอกว่า โรงเรียนประจำทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับลูก ๆ ดีขึ้น เพราะพวกเขาไม่ต้องกลายเป็นครูที่สอนการบ้านลูกในตอนเย็น หรือกลายเป็นสารวัตรนักเรียนในวันเสาร์อาทิตย์
ในช่วงเวลาที่ประธานาธิบดี Bush เรียนอยู่ที่ Andover ในปี 1961 นั้น โรงเรียนประจำมีอิทธิพลต่อการรับนักศึกษาเข้ามหาวิทยาลัยอย่างมาก เช่น ที่ Exeter นักเรียนที่เรียนจบในปีนั้นถึง 57 คนจาก 208 คนสามารถเข้าเรียนต่อที่ Harvard ได้ อาจารย์ใหญ่ของ Deerfield คือ Frank Boyden ไปเยือน Princeton ทุกฤดูใบไม้ผลิ และได้รับอนุญาตให้ดูรายชื่อเด็กนักเรียนที่มหาวิทยาลัยกำลังจะรับเข้าศึกษาต่อ ถ้าหากเขาให้คำรับรองเด็กคนใดก็ตามที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อดังกล่าว Princeton ก็จะรับเด็กคนนั้นทันที โรงเรียนประจำได้ผลิตทนายความ แพทย์ นักการศึกษา วาณิชธนกิจที่มีชื่อเสียงเป็นจำนวนมาก รวมถึงประธานาธิบดีสหรัฐฯอีกหลายคน เช่น อดีตประธานาธิบดี Bush ผู้พ่อจบจาก Andover เช่นเดียวกับผู้ลูก Franklin D. Roosevelt จบจาก Groton และ John F. Kennedy จบจาก Choate (ในสมุดพกของ JFK พราวไปด้วยเกรด C และ D และอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนให้ความเห็นว่าเขาเป็นคนที่ “เหมือนเด็ก” และ “ไม่รับผิดชอบ” อย่างไรก็ตาม Kennedy ก็เข้าเรียนที่ Harvard ได้สำเร็จ)
ในช่วงทศวรรษ 1960 โรงเรียนประจำได้รับความสนใจจากสาธารณชนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นิตยสาร Time นำเรื่องราวของ Andover มาขึ้นปก ส่วน Deerfield ก็เป็นสารคดีเรื่องสำคัญใน National Geographic ครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะกลายเป็นเรื่องปกของนิตยสารเล่มเดียวกันในเวลาต่อมา เกิดนวนิยายโด่งดัง 2 เรื่องที่เขียนเกี่ยวกับโรงเรียนประจำ A Separate Peace (1960) ของ John Knowles เล่าเรื่องเด็กชายที่เรียนในโรงเรียน Milton (เป็นเรื่องราวของ David Heckett เพื่อร่วมโรงเรียนและเพื่อนสนิทของ Robert F. Kennedy) และใช้ฉากของโรงเรียน Exeter อีกเล่มคือ The Rector of Justin (1964) ของ Louis Auchincloss ซึ่งแต่งขึ้นด้วยความประทับใจในตัว Endicott Peabody ผู้ดำรงตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียน Groton มาถึง 55 ปี นอกจากนิยายก็ยังมีอีกเล่มหนึ่งเป็นชีวประวัติเขียนโดย John McPhee ชื่อ The Headmaster (1966) เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ Boyden อาจารย์ใหญ่ของ Deerfield ซึ่งดำรงตำแหน่งมานานถึง 66 ปี
แต่แล้วในปี 1968 สภาพของสังคมภายนอกที่เปลี่ยนแปลงไปได้รุกรานเข้ามาโรงเรียน ประจำ Michael Mulligan อาจารย์ใหญ่โรงรียน Thacher กล่าวว่า ถ้าคุณเข้าไปในโรงเรียนประจำสักแห่งใน New England คุณอาจรู้สึกเหมือนกำลังเข้าไปในสถานที่เล่นคอนเสิร์ตไม่ใช่โรงเรียน (โรงเรียนประจำยังต้องปรับตัวรับกระแสสหศึกษาที่มาแรง โรงเรียนประจำที่เคยรับแต่เด็กชายหรือเด็กหญิงล้วนได้เปลี่ยนเป็นสหศึกษาเป็นครั้งแรกในปี 1970 ทุกวันนี้เหลือโรงเรียนประจำเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่ยังคงเป็นโรงเรียนชายล้วนหรือหญิงล้วน) Holden Caulfield ซึ่งก้าวเข้ามาในบรรณพิภพในปี 1951 เป็นตัวเอกในหนังสือของ J. D. Salinger เรื่อง Catcher in the Rye และในทันทีนั้นก็ได้กลายเป็นเหมือนตัวแทนของเด็กนักเรียนประจำไป Holden วัย 16 ผู้หลงใหลในงานเขียนของ Dinesen, Hardy และ Maugham โดยเฉพาะงานของ Ring Lardner ถูกไล่ออกจากโรงเรียน Pencey Prep (ตัว Salinger เข้าเรียนในโรงเรียนนายร้อย Valley Forge ใน Pennsilvenia) หลังจากที่สอบตก 4 ใน 5 วิชา เด็กหนุ่ม Holden กลับกลายเป็นคนเจ้าทุกข์จมอยู่กับความผิดหวังเศร้าโศกจนสติเริ่มเลอะเลือน เขาเดินทางไปนิวยอร์กและที่นั่นคือจุดจบของเขา เขากลายเป็นคนสติไม่สมประกอบไปในที่สุด Catcher in the Rye ซึ่งขายได้ถึง 60 ล้านเล่มทั่วโลก ยังคงเป็นหนักสืออ่านนอกเวลาเล่มสำคัญสำหรับนักเรียนมัธยมปลาย ภาพของโรงเรียนประจำที่ Salinger บรรยายไว้ในหนังสือกลายเป็นลักษณะโรงเรียนประจำในความคิดของคนอเมริกันส่วนใหญ่ Holden ได้ประณาม “ความจอมปลอม” และ “การคดในข้อ” ของครอบครัวร่ำรวย แม้ว่าเขาเองก็มาจากครอบครัวร่ำรวยเช่นกัน เขาเป็นบุตรชายของทนายความประจำบริษัท อาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ย่าน Upper East Side ซึ่งมีคนรับใช้ประจำบ้าน ส่วนในภาพยนตร์ ความบีบคั้นของกฎระเบียบของโรงเรียนประจำทำให้นักเรียนชายฆ่าตัวตายในหนังเรื่องดัง Dead Poets Society (1989) นำแสดงโดย Robin Williams ซึ่งถ่ายทำกันในโรงเรียน St. Andrew’s ใน Delaware ในหนังเรื่อง School Ties (1992) ซึ่งถ่ายทำในโรงเรียน Middlesex ใน Massachusetts เด็กนักเรียนวัยรุ่นเกลียดชังคนยิวอย่างไม่มีเหตุผลและคิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น
ล่าสุด โรงเรียนประจำถูกกล่าวถึงในด้านลบอีกครั้งในนวนิยายเรื่อง All loves Excelling โดย Josiah Bunting III อาจารย์ใหญ่โรงเรียน Lawrenceville ช่วงปี 1987-1995 และขณะนี้เป็นผู้อำนวยการ Virginea Military Institute ซึ่งออกวางจำหน่ายเมื่อไม่นานมานี้ Bunting เล่าเรื่องของเด็กหญิงที่ถูกบีบคั้นจิตใจจากแม่ซึ่งเป็นคนทะเยอทะยาน Bunting บรรยายเรื่องราวของให้เกิดขึ้นในโรงเรียนประจำชั้นนำแห่งหนึ่ง ซึ่งมียังคงมีลักษณะเหมือนโรงเรียนประจำในยุคเก่า และกล่าวถึงผลกระทบอันเลวร้ายของการแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัยทุกวันนี้ Christian Science Monitor วิจารณ์หนังสือเล่มนี้ว่า เป็นหนังสือที่วิพากษ์โรงเรียนมัธยมเหมือนที่หนังสือ Uncle Tom’s Cabin วิพากษ์ระบบทาส บรรดาผู้บริหารโรงเรียนประจำต่างรู้สึกเดือดร้อนกับภาพด้านลบของโรงเรียนที่ปรากฏตามสื่อต่าง ๆ Barbara Chase อาจารย์ใหญ่ Andover กล่าวว่า ผู้ที่กล่าวหาโรงเรียนประจำว่าเลวร้ายเหล่านั้น หาได้มีความเข้าใจหรือรู้จักโรงเรียนประเภทนี้อย่างแท้จริงไม่ หรือมิฉะนั้นก็เชื่อผิด ๆ ตามที่เคยได้ยินมา
โรงเรียนประจำนอกจากจะรับนักเรียนที่มีภูมิหลังทางเศรษฐกิจและสังคมที่หลากหลายแล้ว ยังรับนักเรียนที่มาจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ซึ่งทำให้เป็นโรงเรียนที่มีลักษณะพิเศษแตกต่างไปจากโรงเรียนรัฐหรือโรงเรียนเอกชนทั่วไปในอเมริกา โรงเรียนประจำแม้เพียงขนาดเล็ก (มีนักเรียนประมาณ 220-350 คน) และขนาดกลาง (500-600 คน) ก็มีนักเรียนที่มาจากรัฐต่าง ๆ ในสหรัฐฯถึง 36-37 รัฐ ในขณะที่โรงเรียนประจำขนาดใหญ่อย่าง Andover และ Exeter จะรับนักเรียนจาก 45-46 รัฐหรือเกือบทั่วประเทศ นอกจากนี้จำนวนนักเรียนเชื้อสายแอฟริกันและเอเชียเพิ่มขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด ยุคสมัยที่โรงเรียนประจำที่มีนักเรียนทั้งหมด 500 คนจะมีนักเรียนผิวดำเพียง 5 หรือ 6 คนได้หมดไปแล้ว ขณะนี้ในโรงเรียนประจำส่วนใหญ่จะมีนักเรียนที่มาจากเชื้อชาติกลุ่มน้อยในอเมริกาถึง 1 ต่อ 5 ของนักเรียนทั้งหมด เช่นเดียวกับโรงเรียนประจำในอังกฤษซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้รับความไว้วางใจให้เป็นสถานศึกษาของบรรดากุลบุตรของชนชั้นสูงทั่วโลก โรงเรียนประจำในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นมหาอำนาจหนึ่งเดียวในโลกตอนนี้ ก็กำลังเจริญรอยตามอังกฤษ และกลายเป็นจุดหมายที่ผู้ปกครองทั่วโลกไว้วางใจที่จะส่งลูกหลานให้มาอยู่ในความดูแล “โรงเรียนประจำดี ๆ เดี๋ยวนี้ดูไปก็คล้ายกับเป็นสหประชาชาติ” Henry Flanagan อาจารย์ใหญ่ Western Reserve Academy กล่าว ส่วน Eric Widmer อาจารย์ใหญ่ของ Deerfield กล่าวว่า โรงเรียนประจำในปัจจุบันนี้ได้เปลี่ยนจากโรงเรียนสำหรับเด็กชาย มาเป็นโรงเรียนที่รับนักเรียนอย่างไม่เลือกที่รักมักที่ชังไม่ว่าจะเป็นด้านเพศ สีผิว ภูมิหลังทางเศรษฐกิจและสังคม และเชื้อชาติ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเปิดกว้างรับนักเรียนจากทั่วโลกโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ แต่ยังมีคนอเมริกันเองในหลาย ๆ ส่วนของประเทศ ที่รู้จักหรือเข้าใจความเป็นโรงเรียนประจำน้อยมาก แม้แต่ในเมืองที่เจริญมาก ๆ อย่างวอชิงตันเอง พ่อแม่หลายคนยังคิดว่า ครอบครัวที่ส่งลูกไปเข้าโรงเรียนประจำเป็นเพราะครอบครัวนั้นมีปัญหา หรือลูกเป็นเด็กเหลือขอที่ไม่มีโรงเรียนไหนต้องการ ความจริงก็คือ โรงเรียนประจำบางโรงเรียนเป็นโรงเรียนพิเศษที่จะรับนักเรียนที่มีความผิดปกติด้านการเรียนรู้หรือมีปัญหาพฤติกรรม เด็ก ๆ หลายคนแสดงความสนใจอยากเข้ามาเรียนในโรงเรียนประจำ พวกเขาเห็นว่าโรงเรียนประจำให้โอกาสที่ดีกว่า พวกเขาจะได้เรียนวิชาการที่เข้มข้น มีโอกาสที่จะเป็นนักกีฬาที่เก่ง ได้เรียนการแสดงหรือจิตรกรรม หรือแม้แต่เพียงได้พัฒนาความเป็นตัวของตัวเอง พวกเขาก็พอใจ “ผมไม่ได้พูดเล่น แต่เด็ก ๆ ที่อยากมาเรียนที่นี่พร้อมที่จะถูกเพื่อนตั้งฉายา พร้อมปรับตัวเข้ากับที่อยู่ใหม่ และเข้ากับเพื่อนที่มีภูมิหลังที่หลากหลายแตกต่างจากตัวเองอย่างมาก” William Polk อาจารย์ใหญ่แห่ง Groton กล่าว และ Benjamin Williams IV อาจารย์ใหญ่แห่ง Cate ก็เห็นด้วย “พวกแกชอบที่ได้มีโอกาสทำอะไรให้ประสบความสำเร็จและมีโอกาสทำผิดพลาด ในขณะที่ถ้ายังอยู่กับพ่อแม่ พ่อแม่คงไม่ยอมที่จะให้พวกแกได้ลองผิดลองถูกเลย”
เนื่องจากการแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำอย่าง Ivy League ยากมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้โรงเรียนประจำต้องทำใจยอมรับการที่นักเรียนของตนจะสามารถเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำเหล่านี้ได้ในสัดส่วนที่น้อยลง อย่างไรก็ตาม ยังนับว่าโรงเรียนประจำประสบความสำเร็จอย่างสูงในการเตรียมนักเรียนให้พร้อมที่จะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยดัง ๆ ทั้งหลาย ในฤดูใบไม้ร่วงจะถึงนี้ Group of Seven จะสามารถส่งนักเรียนของตน 400 คนเข้า Ivy League ได้ ส่วนโรงเรียนประจำอื่น ๆ คงจะสามารถส่งนักเรียนของตนเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำได้อีกหลายร้อยคน อย่างไรก็ตาม ไม่ควรมองว่าโรงเรียนประจำเหล่านี้มีความหมายเป็นแค่เพียงทางผ่านไปสู่มหาวิทยาลัยดัง ๆ เท่านั้น Robert Mattoon Jr อาจารย์ใหญ่ Hotchkiss เคยถามตัวเองว่า ถ้ามีเงินเพียงสามารถส่งลูกเรียนโรงเรียนประจำหรือมหาวิทยาลัยได้อย่างใดอย่างหนึ่ง จะเลือกส่งลูกไปเรียนที่ไหน คำตอบก็คือโรงเรียนประจำ “เพราะคุณจะได้เรียนวิธีพัฒนาทักษะในการเรียนที่โรงเรียนประจำ ทักษะนี้จะติดตัวคุณไปและนำไปใช้ได้ตลอด ไม่ว่าคุณจะไปเรียนในมหาวิทยาลัยไหน” ดังนั้น เขาจึงส่งลูกสาวคนหนึ่งเข้าเรียนที่ Exeter แล้วต่อมหาวิทยาลัย Barnard และอีกคนหนึ่งเข้า Milton แล้วต่อมหาวิทยาลัย Dartmouth
เราจะสรุปลักษณะของโรงเรียนประจำอย่างไร เมื่อ 40 ปีก่อนโรงเรียนประจำเป็นสถานที่ที่โดดเดี่ยว การรอแถวยาวเหยียดเพื่อจะใช้โทรศัพท์โทรกลับไปหาพ่อแม่ยังเป็นประสบการณ์ขมขื่นที่ศิษย์เก่าหลายคนไม่เคยลืม แต่นั่นเป็นอดีตไปแล้ว ทุกวันนี้ หอพักนักเรียนประจำที่ทันสมัยมีอินเตอร์เน็ตทุกห้อง และหลายห้องมีโทรศัพท์ประจำ นักเรียนเรียน 5 วันต่อสัปดาห์ มีบางครั้งเรียนเช้าวันเสาร์ด้วย ตอนบ่าย พวกเขาจะต้องเล่นกีฬา เข้าร่วมกิจกรรมนอกหลักสูตร หรือทำงานบริการชุมชน สัปดาห์ละครั้งในตอนบ่ายของวันธรรมดาหรืออีกครั้งในวันเสาร์ นักเรียนส่วนใหญ่จะต้องแข่งกีฬากับโรงเรียนอื่น ตอนค่ำ นักเรียนจะอ่านหนังสือหรือทำการบ้านในห้องนอนหรือห้องสมุด หรือไปหาอาจารย์ที่พักอยู่ในโรงเรียนเช่นเดียวกัน หากต้องการถามการบ้านหรือสงสัยในบทเรียน ภายในบริเวณโรงเรียนประจำ ซึ่งแต่ละแห่งมักจะมีภูมิทัศน์ที่งดงามมาก จะเรียงรายไปด้วยอาคารเรียน หอพัก ห้องรับประทานอาหาร ห้องสมุด ศูนย์วิทยาศาสตร์ โรงละคร ห้องแสดงงานศิลป์ ยิมเนเซียม ลานน้ำแข็งสำหรับกีฬาฮ็อกกี้ (ใน New England) และสระว่ายน้ำกลางแจ้ง (ในแคลิฟอร์เนียและทางภาคใต้)
ปัจจุบันนี้ พ่อแม่ของนักเรียนประจำ ซึ่งสามารถติดต่อกับลูก ๆ ได้โดยผ่านอีเมล์ เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตในโรงเรียนประจำของลูก ๆ มากขึ้น สารที่พ่อแม่พยายามส่งถึงโรงเรียนคือโรงเรียนต้องเข้มงวดกับเรื่อง “เพศ ยาเสพติด และร็อคแอนด์โรล” ยิ่งการรับน้องยิ่งไม่ต้องพูดถึง หรือสรุปก็คือ ดูแลลูกของเราให้ดีเท่าหรือดีกว่าเราทั้งพ่อแม่และอาจารย์เห็นพ้องกันว่า ชี วิตในโรงเรียนมัธยมปลายเป็นเวลาที่ดีที่สุดที่จะเปลี่ยนวัยรุ่นให้เป็นผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบ เพราะมหาวิทยาลัยจะไม่มีส่วนในการเสริมสร้างบุคลิกและลักษณะนิสัยของวัยรุ่นอีกต่อไปแล้ว นี่คือความเห็นของ Campbell อาจารย์ใหญ่แห่ง Woodberry Forest “ซึ่งอาจจะเป็นเพราะมหาวิทยาลัยไม่รู้หรือไม่อาจหาข้อยุติได้ว่า คุณค่าอะไรที่ควรส่งเสริมหรือปลูกฝังให้แก่นักศึกษา แต่ในโรงเรียนประจำไม่ใช่ เราชัดเจนในเรื่องนี้ และเอาใจใส่เรื่องนี้เป็นพิเศษด้วย” ลักษณะเฉพาะที่เป็นเอกลักษณ์ของการเรียนในโรงเรียนประจำยังคงอยู่ครบถ้วน “การอยู่ในโรงเรียน 24 ชั่วโมงต่อวัน 7 วันต่อสัปดาห์ คือประสบการณ์ชีวิตทั้งหมดของเด็ก ๆ” Mattoon อาจารย์ใหญ่ Hotchkiss กล่าว หลายปีกับการกินนอนเล่นกับเพื่อน ๆ ในโรงเรียนประจำทำให้พวกเขารักกันมากและผูกพันกับโรงเรียนอย่างลึกซึ้ง ภาพของนักศึกษาปี 1 ของมหาวิทยาลัยขับรถกลับมาที่ Deerfield ในคืนวันศุกร์เพื่อเล่นรอบกองไฟ ก่อนที่จะมีการแข่งขันกีฬากับโรงเรียน Choate ภาพของศิษย์เก่า Andover ปี 1938 กลับมาที่โรงเรียนเก่าเมื่อฤดูใบไม้ร่วงที่แล้ว เพื่อวางพวงหรีดในพิธีรำลึกถึงเพื่อนร่วมโรงเรียนที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นภาพที่จะเห็นได้เสมอ Mattoon เล่าว่า ในหนังสือครบรอบปีที่ 50 ของ Hotchkiss ศิษย์เก่าหลายคนได้เขียนบันทึกไว้ว่า โรงเรียนประจำเป็น “ที่ที่พวกเขาได้สร้างนิสัยที่จะติดตัวไปตลอดชีวิต และสร้างมิตรภาพที่จะยืนยาวไปตลอดชีวิต” เขากล่าวต่อไปว่า “ที่น่าสนใจก็คือ พวกเขาแทบไม่พูดถึงมหาวิทยาลัยที่เคยเรียนเลย แต่กลับพูดถึงโรงเรียนประจำว่า เป็นที่ที่ทำให้พวกเขาเป็นอย่างที่เป็นทุกวันนี้ และมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อชีวิตของพวกเขาไปจนตลอดชีวิต