กรุงเทพฯ : แรงปะทะใหม่ (3)

ผมค่อนข้างเชื่อว่ากรุงเทพฯในช่วงอย่างน้อยทศวรรษจากนี้  ถือเป็นช่วงเวลาความอึดอัด กดดัน  ทั้งนี้ไม่ไดตั้งใจจะพาดพิงถึงเรื่องการเมือง หากเป็นชีวิตความเป็นอยู่

 

ว่าไปแล้ว ผม “แตะ”ความเป็นไปของกรุงเทพฯมาหลายครั้ง จากข้อเขียนหลายตอนในช่วงที่ผ่านมา แต่ครั้งนี้พยายามเสนออย่างเป็นเรื่องเป็นราวมากขึ้น

ภาวะอันเลวร้ายและค่อนข้างเลวร้ายสำหรับบางคน กรณีนำท่วมครั้งใหญ่เมื่อปีที่แล้ว   นอกจากเป็นประสบการณ์ของคนหลายรุ่นในเมืองเมืองหลวงที่ไม่เคยประสบมาก่อนแล้ว ยังเป็นสัญญาณเตือนให้เห็นความเป็นไปที่ไม่แน่นอนมากขึ้น สำหรับการดำเนินชีวิตในกรุงเทพฯ

ทั้งในฐานะปัจเจกซึ่งมีความหลากหลาย ตั้งแต่ในฐานะอยู่ในวัยเรียน  ในสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศที่กระจุกตัวมากเป็นพิเศษ  ในฐานะวัยทำงานอยู่ที่ศูนย์กลางสำนักงานของคนหนุ่มสาวที่มีอนาคตในระบบเศรษฐกิจมากกว่าทุกทีในประเทศ  และบางคนปักหลัก  เป็นที่พำนักในฐานะคนสูงอายุ ในวัยเกษียณซึ่งมีจำนวนมากขึ้นมากกว่ายุคใดๆ

ในฐานะเป็นศูนย์กลางขององค์กรทั้งธุรกิจและไม่ใช่ ธุรกิจ โดยก่อนหน้านี้ ส่วนใหญ่เชื่อว่า กรุงเทพฯเป็นศูนย์กลางของความสะดวกสบายทั้งในการดำเนินกิจกรรมทางทั้งทางธุรกิจ มิใช่ธุรกิจ การบริหาร และการเมือง

การเติบโตของเมืองอย่างไม่มีแผนในภาพรวม และเมื่อเผชิญปัญหากลับกระทบเชื่อมโยงทั้งหมด

แนวโน้มการขยายตัวของที่อยู่อาศัย ดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง แต่มีบางประการที่น่าสนใจ

การชะลอตัวของการขยายชุมชนออกสู่ชานเมือง แดนต่อแดนระหว่างกรุงเทพฯกับปริมณฑล ตลอดจนข้ามแดนไปสู่ปริมณฑลในเชิงภูมิศาสตร์ แต่เป็นส่วนต่อขยายโดยความเป็นจริงของกรุงเทพฯ

ความหนาแน่นของชุมชนใจกลางเมืองหลวงมากขึ้น  ด้วยโครงการอาคารสูงจะมีมากขึ้น กรุงเทพฯจะมีลักษณะ CBD (Central business district) อย่างชัดเจนมากขึ้น และจะกลายเป็นเมืองที่มีตึกสูงมากขึ้นๆ ด้วยความเชื่อว่าแนวทางการเชื่อมโยงที่ทำงานกับที่พักอาศัยให้เชื่อมโยงกันมากขึ้นจะเป็นระบบที่ดี ในมิติทางธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะถือเป็นโอกาสทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนือง

พื้นที่ของการค่าขายขยายตัวมากขึ้น กำลังสร้างสัญลักษณ์ของเมืองสมัยใหม่ ด้วยรูปแบบศูนย์การค้าทันสมัยติดตามกระแสของโลกอย่างกระชั้นชิด  ขณะที่พื้นที่สีเขียวกลับน้อยลงอย่างมาก

บ้าน-ที่ทำงาน

ปรากฏการณ์ทั้งสามประการ  ที่นำเสนอข้างต้น มาจากแรงกดดันเดิมจากปัญหาเดิม–จราจร  และมาซ้ำเติมจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับน้ำท่วม   แต่อย่างไรก็ตาม จะเกิดปัญหาอื่นๆที่ควรพิจารณาตามมา  ไม่เพียงการเจรจาที่ติดขัดมากขึ้น  ที่สำคัญปันหาจากภัยน่ำท่วม แม้ว่าหลายคนจะเชื่อว่า  กรุงเทพฯชั้นในจะถูกปกป้องอย่างดี แต่กิจกรรมทั้งหลายทั้งปวง คงดำเนินไปได้อย่างบากลำบาก เพราะผู้คนรอบนอก  ซึ่งเป็นพลังงานหลักของการทำงาน และอยู่เบื้องหลังพลังขับเคลื่อนกรุงเทพฯ ต้องเผชิญปัญหา ไม่สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ

รถ –ถนน

ยิ่งการจราจรติดขัดมากขึ้น โดยจิตวิทยาและแนวโน้มการเปลี่ยนแปลง ระบบขนส่งหลักชานเมือง—การเดินทางด้วยรถเมล์ ต้องใช้เวลามากขึ้น ความพยายามมีรถยนต์ของตนเองก็จะมากขึ้นเป็นเงาตามตัว   การจราจรโดยทั่วไปทั่วทั้งเมือง จะมีปัญหามากขึ้นเป็นวัวพันหลัก    กว่าระบบขนส่งที่เชื่อว่ามีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะรถไฟฟ้ามหานครทั้งบนดินและใต้ดินจะเปิดบริการได้ ก็ต้องใช้เวลาอีกนานพอสมควร

ปัญหาของเมืองหลวงอันเกิดจากกรณีน้ำท่วม จะก่อปัญหาต่อเนื่องมาจากรถยนต์ในมิติที่น่าตกใจ  รถยนต์กลายเป็นทรัพย์สินของคนเมืองที่มี่ค่า  เวลาน้ำท่วม ปัญหาการดูแลทรัพย์สินที่มีมากจึงเป็นเรื่องใหญ่มาก โดยต้องการพื้นที่การจดรถยนต์ที่พิเศษมากกว่าปกติ   การจดรถยนต์กีดกว้างเส้นทางการจราจรในช่วงเวลานั้น กลายเป็นวิกฤติการณ์อย่างหนึ่ง  ในช่วงเวลานั้นระบบจรจาติดขัดมากเป็นพิเศษอยู่แล้ว  จากระบบจราจรไม่สามารถทำงานได้ตามปกติจากกรณีน่ำท่วม

ปรากฏการณ์ของการจดรถยนต์บนทางด่วนเหนือระดับน่ำท่วม เป็นเรื่องที่สั่นสะเทือน ความรู้สึกนึกคิดของผู้คนในเมืองหลวงอย่างมาก  แม้จะเป็นเรื่องยากที่เข้าใจของคนนอก แต่เป็นภาพสะท้อน ความอ่อนไหวของกรุงเทพฯ

กรุงเทพ-ปริมาณมณฑล

ความเป็นดาวบริวารของกรุงเทพฯของเขตปริมณฑล การสร้างชุมชนทันสมัยใหม่ๆเพิ่มขึ้น สร้างระบบเศรษฐกิจของภาคบริการ เข้ามาแทนที่ระบบเศรษฐกิจเดิมของชุมชนเกษตร  ในช่วงหลายทศวรรษมานี้ส่วนใหญ่มองเป็นบวก แต่เมือเผชิญปัญหาน้ำท่วมครั้งล่าสุด  ความขัดแย้งระหว่างกรุงเทพฯและปริมณฑลปรากฏขึ้นอย่างชัดเขน  ความพยายามปกป้องพื้นที่กรุงเทพชั้นใน สร้างความขัดแย้งมากมายหลายเหตุการณ์และกรณี  จากนี้เมื่อมองถึงแผนการป้องกัน่น้ำท่วมระบบเศรษฐกิจสำคัญในใจกลางเมืองหลวง  ซึ่งถือเป็นเรื่องจำเป็น  ด้วยการสร้างระบบป้องกัน ระบบสกัดกั้นและบริหารจัดการเส้นทางน้ำ  ดูจะเป็นเรื่องยากลำบากอย่างยิ่ง ไม่เพียงไม่สามารถขีดเส้นแบ่งอย่างชัดเจน เนื่องการการเติบโตของชุมชนเมืองกับระบบสาธารณูปโภค เชื่อมโยงปนเปอย่างแยกไม่ออก  ถือเป็นเรื่องยากลำบากทางเทคนิค  ทั้งนี้ไม่รวมความยากลำบากที่ดูเหมือนมีมากกว่าในทางสังคมด้วย

แม้เชื่อว่ากรุงเทพฯมีงบประมาณ มีกำลังมากพอจะลงทุนเพื่อสร้างการป้องกันน้ำท่วมอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น  กรณีในบางประเทศ ไม่ว่าลอนดอน หรือเมืองชายทะเลของเนเธอร์แลนด์  แต่ในทางเทคนิคและสังคม เป็นเรื่องยากลำบากอย่างยิ่ง จะต้องเป็นการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง ถือเป็นเรื่องระดับยุทธศาสตร์ของประเทศเลยทีเดียว

 

เมืองที่ไม่มีแผนการพัฒนาเชิงยุทธศาสตร์  มีแต่ความพยายามตามแก้ปัญหาเฉพาะจุด

กรุงเทพฯเป็นเมืองที่มีระบบขนส่งมวลชนอย่างจำกัด และไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร  ความพยายามสร้างระบบขนส่งมวลชน ล้วนเกิดจากแรงกดันมาจากปัญหาหนักที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่แผนการเพื่อเตรียมการ  หรือวางแผนล่วงหน้า  จากแรงกดดันเมืองของรถยนต์ที่มีความหนาแน่นมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก  ระบบขนส่งมวลชนระบบรางจึงเป็นโครงการใหญ่ที่วางแผนก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง

โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้า  เป็นระบบที่ต้องลงทุนมาก  แม้ว่าบางคนเห็นว่าเป็นแนวทางที่สร้างเมืองหลวงให้มีความแออัดมากขึ้น แต่เป็นเรื่องยุทธศาสตร์ที่ไม่มีเวลามาถกเถียง  กลายเป็นโครงการใหญ่วิ่งตามแก้ปัญหา   โดยไม่รู้ว่า เมื่อโครงการเสร็จสมบูรณ์สภาพปัญหาจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรต่อไป

แล้วต้องมาเผชิญกับโจทย์ใหม่จากรณีน้ำท่วม  ผมไม่แน่ใจว่าโครงการรถฟ้ามหานครได้นำปัจจัยสำคัญเหล่านี้ เข้าไปพิจารณาแก้ไขหรือเพิ่มเติมเกี่ยวกับการออกแบบโครงสร้างที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาหรือไม่

ปัญหาที่น่าสนใจ  คือ ระบบขนส่งมวลชนแบบใหม่จะอยู่ใต้ดิน เช่นเดียวกับระบบที่ที่มียืนมั่นคงแล้วในกรุงเทพฯ  แต่เชื่อกันว่าจะมี่ความเสี่ยงจากปัญหาน้ำท่วม จะผลประทบรุนแรง  และเสียหายอย่างมากหรือไม่อย่างไร  หรือหากเป็นโครงข่ายขนส่งข่ายเหนือพื้นดิน จะเป็นโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนที่อัปลักษณ์ของเมืองศิวิโลซ์แห่งหนึ่ง   เพื่อแลกกับการมีพื้นที่เพิ่มขึ้น  ในกรณีน้ำท่วมใหญ่เช่นที่ผ่านมา

ปรับเมืองหลวงใหม่เพื่อบทบาทใหม่

เป็นแนวโน้มที่น่าสนใจมากขึ้น  การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงพื้นที่ของเมืองใหญ่ เพื่อประโยชน์หรือบทบาทใหม่ เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป  แม้ไม่ใช่เรื่องใหม่  เนื่องจากบางเมืองมีการปรับปรุงมาแล้วหลายครั้ง แต่ยุคนี้มีภาพเป็นขบวนมากขึ้น มาจากเมืองสำคัญๆ ทั่วโลก มีอายุมากขึ้น กำลังหรือเปลี่ยนบทบาทไปแล้ว จากสภาพสังคมและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง

Urban renewal   เป็นคำที่ใช้เรียกกันในความหมายกว้างๆ หรือในสหราชอาณาจักรมักใช้คำว่า Regeneration   ในการวางแผนการพัฒนาเมืองใหญ่ไปตามแนวทางจากบทวิเคราะห์ การเปลี่ยนแปลง แนมโน้มและโอกาสใหม่ ไม่ว่า Manchester   Edinburgh หรือ    Birmingham

สำหรับกรุงเทพฯ คงมีความเป็นไปได้ที่เขียนแผนอันสวยหรูขึ้น แต่การปรับเปลี่ยนบทบาทใหม่อย่างแท้จริงคงไม่ใช่เรื่องง่าย   จากปัจจุบันกำลังเดินไปอย่างไร้ทิศทาง  และขาดความสมดุล   ระหว่างเมืองหลวงเกษตรกรรมเมื่อ 250 ปี กับการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายเป็นเมืองสมัยใหม่โดยแทบไม่รู้ตัว ตั้งแต่เมื่อ4-5 ทศวรรษที่ผ่านมา

หากจะเป็นไปได้   โครงการย่อส่วน Bangkok regeneration ไปสู่บทบาทใหม่ ก็คือแผนการใหญ่ของสำนักงานทรัพย์สินฯ ในฐานะผู้ถือครองที่ดินโดยเจ้าของเดียวมากที่สุดในกรุงเทพฯ   และเป็นองค์กรที่ความสัมพันธ์และเป็นสัญลักษณ์ของกรุงเทพฯ รวมทั้งมีบุคคลากรมีความสามารถ

ยุทธศาสตร์ใหม่ –เริ่มต้นได้ง่าย เพียงลดบทบาทในฐานะองค์กรทางธุรกิจ จากที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

 

 

———————————————————————————————————————————-

ระบบขนส่งมวลชน

 

2519

จัดตั้ง องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ

เป็นรัฐวิสาหกิจ ประเภทกิจการสาธารณูปโภค สังกัดกระทรวงคมนาคม บริการ รถโดยสารประจำทาง ในเขตกรุงเทพมหานคร และจังหวัดใกล้เคียง 5 จังหวัด คือ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสงคราม และนครปฐม มีผู้ใช้บริการ ประมาณกว่า 3 ล้านคนต่อวัน

เท่าที่ติดตามไม่มีแผนการขยายเส้นทางสำคัญๆ  มีแต่การขยายตัวของรถร่วมบริการ ความพยามเขียนแผนแก้ไขการการเงิน เพื่อลดการขาดทุนสะสมจำนวนมาก

 

2542

รถไฟฟ้าบีทีเอส สายแรกของประเทศไทยเปิดดำเนินการ

โดยบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นโครงการลงทุนโดยเอกชน  เปิดให้บริการครั้งแรกใน 2 เส้นทาง คือสายสุขุมวิท ระยะทาง 17 กม.

— 2552 ได้เปิดให้บริการส่วนต่อขยายสายสีลม ระยะทาง 2.2 กม. จากสถานีสะพานตากสินถึงสถานีวงเวียนใหญ่ ระยะทางในการให้บริการรวม 30.95 กม.

—ปี 2554 ได้เปิดให้บริการส่วนต่อขยาย สายสุขุมวิท ระยะทาง 5.25 กม. จากสถานีอ่อนนุชถึงสถานีแบริ่ง และสายสีลม ระยะทาง 6.5 กม.

 

2547รถไฟฟ้ามหานคร   ระบบขนส่งมวลขนแบบใหม่—รถใต้ดิน เปิดบริการเป้นครั้งแรก สายสีน้ำเงิน

ช่วงหัวลำโพง-บางซื่อ  หลังจากองค์การรถไฟฟ้ามหานครก่อตั้งเมื่อปี2535

—ส่วนต่อขยายช่วงบางซื่อ-ท่าพระ และหัวลำโพง-บางแค อยู่ระหว่างการก่อสร้าง

— สายสีม่วง (บางใหญ่-ราษฎร์บูรณะ  ช่วงบางใหญ่ – บางซื่อ อยู่ระหว่างการก่อสร้าง

แผนการ ซึ่งต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 5 ปีจึงจะเริ่มเปิดบริการ

— สายสีส้ม (บางขุนนนท์-มีนบุรี) สายสีชมพู (ปากเกร็ด-มีนบุรี)

 

 

 

 

ผู้เขียน: viratts

writer and farmer

One thought on “กรุงเทพฯ : แรงปะทะใหม่ (3)”

  1. คุณคิดว่า..ผังเมืองกทม.แถบคลองสามวา หนองจอกจะสามารถเปลี่ยนจากเขตอนุรักษ์การเกษตรเป็นพื้นที่สีเหลืองหรือแดงได้หรือ…

ใส่ความเห็น

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Twitter picture

You are commenting using your Twitter account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Connecting to %s

%d bloggers like this: